ORชะลอลงทุนเมียนมา แผนสร้างคลังน้ำมัน-LPG

ORชะลอลงทุนเมียนมา แผนสร้างคลังน้ำมัน-LPG

OR พร้อมชะลอแผนลงทุนก่อสร้างคลังน้ำมัน-แอลพีจี ในเมียนมาหลังเกิดรัฐประหาร

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ส่วนแผนขยายการลงทุนในต่างประเทศนั้น ปัจจุบัน โออาร์ได้จัดตั้งบริษัทเข้าไปร่วมลงทุนขยายธุรกิจใน 3 ประเทศแล้ว คือ จีน,เมียนมา และเวียดนาม โดยในส่วนของจีน ที่ได้จัดตั้งบริษัท PTTOR CHINA เพื่อทำธุรกิจหล่อลื่นในประเทศจีน รวมถึงได้ขยายสาขาร้านกาแฟอเมซอนในจีนไปแล้ว 3 สาขา ซึ่งการขยายสาขาในอนาคตจะเน้นลักษณะของการหาพันธมิตรร่วมลงทุน

ขณะที่ในเมียนมาตั้ง 2 บริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรกลุ่มบริษัท คันบาวซา จำกัด (Kanbawza KBZ Group of Companies Limited) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศเมียนมา ในการจัดตั้ง 2 โครงการ คือ 

1.โครงการร่วมทุนธุรกิจคลังและค้าส่งปิโตรเลียม กับ บริษัท ไบรท์เทอร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ในการจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม รวมถึงการจัดตั้งและบริหารคลังน้ำมัน ท่าเรือ และโรงบรรจุก๊าซหุงต้มแอลพีจี ซึ่งเดิมโครงการดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2564 นับเป็นคลังน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเมียนมา มีความจุรวมกว่า 1 ล้านบาร์เรล และมีความจุแอลพีจี รวม 4,500 เมตริกตัน

2.โครงการร่วมทุนธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีก กับ บริษัท ไบรท์เทอร์ เอนเนอร์ยี่ รีเทล จำกัด โดยจะนำแบรนด์ของ โออาร์ ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยมาต่อยอดเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคชาวเมียนมา ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ก๊าซหุงต้มแอลพีจี และร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน ซึ่งเดิมวางเป้าหมายการขยายสถานีที่ 70 แห่ง ภายในปี 2566 นั้น 

ขณะนี้ทั้ง 2 โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยโครงการแรก คืบหน้าไปแล้ว 65% และโครงการที่ 2 อยู่ระหว่างก่อสร้างปั๊ม 2 แห่ง แต่เนื่องจากเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาทำให้ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจำเป็นต้องชะลอการลงทุนออกไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง

ส่วนในเวียดนาม นั้นโออาร์ ได้ร่วมทุนกับบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ผ่านบริษัท พีทีทีโออาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้งส์ (สิงคโปร์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของโออาร์ เพื่อดำเนินธุรกิจกาแฟอเมซอนในเวียดนาม ปัจจุบัน จัดตั้งแล้ว 5 สาขา มียอดขายเติบโตเกินเป้าหมายอยู่ที่ 315 แก้วต่อสาขาต่อวัน

“ปี64 เราก็มองโอกาสขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้นแต่จะมอง 2 วัตถุประสงค์หลัก คือ 1.ประเทศที่อุนญาตให้ต่างชาติทำเรื่องการค้าเชื้อเพลิงได้ก็จะเข้าไปทำเรื่องการค้าน้ำมัน แต่ถ้าประเทศไหนจำกัดไม่ให้ต่างชาติทำเรื่องของน้ำมัน เราก็จะเข้าไปในเรื่องของ non oil และ2.การเข้าไปจะเลือกเป้าหมายประเทศที่มีประชากรสูงก่อน ฉะนั้น ถ้าถามว่า อินโดนีเซีย สนใจไหม ก็เป็นเป้าหมายเพราะไม่มีกำแพงสกัดเรื่องของอเมซอน แต่ต้องปรับรูปแบบธุรกิจและสินค้าให้เข้ากับความต้องการของประชากรในแต่ละท้องถิ่นด้วย”

สำหรับแผนการลงทุน 5 ปี (2564-2568) ของโออาร์ มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ของธุรกิจค้าปลีก (Non-Oil) เป็น 33% จากสิ้นปี 2563 อยู่ที่ 25% ธุรกิจต่างประเทศ เป็น 12% จากสิ้นปี 63 อยู่ที่ 4.9% และธุรกิจน้ำมัน เหลือ 55% จากสิ้นปี63 อยู่ที่ 68%

โดย โออาร์ จะมุ่งเน้นขยายการเติบโตด้วยการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมลงทุน (JV) ซึ่งแผนขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-curve จะดำเนินธุรกิจผ่าน บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ โออาร์ ถือหุ้น 100% เน้นเข้าลงทุนธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต คาดว่าจะใช้เงินลงทุนสำหรับ M&A และ JV ในสัดส่วน 29% ของวงเงินลงทุน 74,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี เพื่อช่วยสนับสนุนให้สัดส่วน EBITDA ของธุรกิจ Non-oil ให้ได้ตามเป้าหมาย

“ปัจจุบันเจรจาดีลธุรกิจใหม่หลายราย ทั้งสตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับคาร์แชร์ริ่ง (Carsharing) ธุรกิจเพื่อสุขภาพ (Health Care) ร่วมถึงธุรกิจให้บริการท่องเที่ยว คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้เพิ่มเติม”

โดยปี 2564 โออาร์ มีเป้าหมายขยายสาขาร้านกาแฟอเมซอน 420 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 3,168 สาขา ร้าน Texas Chicken 20 สาขาจากปัจจุบันมี 78 สาขา และปั๊มน้ำมัน อีก 110 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 1,968 สาขา

ส่วนยอดขายน้ำมันในปีนี้ คาดว่า จะเติบโตขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัว 3% ตามการประเมินของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง หลังหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีน ซึ่งน่าจะส่งผลให้การเดินทางโดยรถยนต์เพิ่มขึ้น 

ประกอบกับกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) มีมติขยายเวลาการปรับลดการผลิตที่ระดับ 7.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงเดือน เม.ย. 64 คาดว่าจะหนุนให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ในระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้น คาดว่า ยอดขายน้ำมันปีนี้จะกลับมาเติบโตใกล้เคียงกับปี 62 ที่มียอดขายน้ำมันรวมราว 27,627 ล้านลิตร