"Energy" Sector (11 ม.ค.64)

"Energy" Sector (11 ม.ค.64)

2021: ปีแห่งการฟื้นตัวของโรงกลั่น

Event

เราปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานจาก Neutral เป็น Overweight โดยยังคงเลือก Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)*, ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO)* และ Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มพลังงานสำหรับปี 2564

Impact

ตลาดนํ้ามันดิบ: ราคานํ้ามันดิบจะฟื้นตัวในปี 2564

เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเพิ่มขึ้นจาก US$42/bbl ในปี 2563 เป็น US$53/55/bbl ในปี 2564/65 เนื่องจาก i) อุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลงไป และมีการนำวัคซีนออกมาใช้ในวงกว้างตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป และ ii) กลุ่ม OPEC+ ร่วมมือกันปฏิบัติตามข้อตกลงลดโควตาการผลิตน้ำมัน โดยเรายังคสมมติฐานราคาน้ำมันระยะยาวเอาไว้ที่ US$55/bbl สำหรับในปี 2563 Energy Information Administration (EIA) ของสหรัฐประเมินว่าอุปสงค์น้ำมันดิบของทั้งโลกจะลดลง 8.9MBD YoY จากผลกระทบของการที่ COVID-19 ระบาด แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะเพิ่มขึ้น 5.8MBD YoY เป็น 98.2MBD ในปี 2564 เนื่องจากเริ่มมีการนำวัคซีนของ Pfizer และ Modern ออกมาฉีดให้ประชาชนทั่วโลกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 และวัคซีนของ AstraZeneca ในเดือนมกราคม นอกจากนี้ การที่ซาอุดิอาระเบียดตัดสินใจลดการผลิตน้ำมันของตัวเองลง 1.0MBD ถือเป็นปัจจัยบวกที่อยู่เหนือความคาดหมายของตลาด แม้ว่า OPEC+ จะยอมให้รัสเซียและคาซัคสถานสามารถผลิตน้ำมันเพิ่มรวมกัน 75,000BPD ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ในขณะที่ประเทศสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่ม OPEC+ จะยังคงปฏิบัติตามข้อตกลงลดโควตาการผลิตน้ำมันต่อไปตามเดิม

ตลาดโรงกลั่น: เรายังคงมองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่นในปี 2564

เราเชื่อว่า spread ของผลิตภัณฑ์จากการกลั่นจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกไตรมาส และกลับสู่ระดับปกติได้ใน 2H64 เนื่องจาก i) อุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และ ii) มีการปิดโรงกลั่น และเปลี่ยนไปเป็น terminal หรือโรงงานผลิต biofuel ประมาณ 1.5MBD ในปี 2563 และ 0.4MBD ในปี 2564 ในขณะที่ไม่มีอุปทานโรง
กลั่นใหม่เพิ่มขึ้นมากนักในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางในช่วงปี 2563-65 นอกจากนี้ เรายังเห็นสัญญาณบวกจาก spread ของน้ำมันเครื่องบินที่พลิกฟื้นจากติดลบมาเป็นบวกได้ตั้งแต่เดือนตุลาค 2563 โดยเราคาดว่าอุปสงค์น้ำมันเครื่องบินจะฟื้นตัวขึ้น 1.3MBD YoY เป็น 4.0MBD ในปี 2564
หลังจากที่ International Air Transport Association (IATA) คาดการณ์ว่าอุปสงค์ของสายการบินทั่วโลกจะโตถึง 50% YoY ในปี 2564 ดังนั้นเราจึงยังคงใช้สมมติฐานว่า spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลในปี 2564 จะเพิ่มขึ้น YoY เป็น US$9.0/6.0/12.0/bbl จาก US$4.4/2.5/6.1/bbl ในปี 2563 ตามลำดับ

ตลาด Olefins: อุปทาน olefins ใหม่ที่เข้าในตลาดจำนวนมากจะจำกัด upside ในปี 2564F

เราเชื่อว่าราคา polyethylene (PE) ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 2Q63 และจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ตลาด PE จะยังคงถูกกดดันจากอุปทาน PE ใหม่ที่สูงถึง 7.8MTA และ 7.9MTA ในปี 2564-65 เมื่อเทียบกับอุปสงค์ที่ตามปกติจะโตแค่ 4.0MTA เท่านั้น นอกจากนี้ เรายัง
คาดว่า spread ของ PP จะลดลง YoY ในปี 2564 เนื่องจากจะมีอุปทาน PP ใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดมากถึง 6.9MTA ในปีนี้ แม้ว่า spread จะเพิ่มขึ้นอย่างมากใน 4Q63 เนื่องจาก i) อุปทานในภูมิภาคตึงตัวในช่วงที่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน และ ii) อุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวขึ้น ดังนั้นเราจึงคาดว่า spread ของ PP จะลดลง YoY เหลือ US$570/ton ในปี 2564

ตลาด Aromatics: อุปทานใหม่ของ aromatics จะน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2564F

เราคาดว่า spread ของ PX และ BZ จะเพิ่มขึ้น YoY เป็น US$280/ton และ US$170/ton ในปี 2564 ตามลำดับ เนื่องจากคาดว่าอุปทาน PX ใหม่ในปีนี้จะลดลงเหลือ 2.5MTA จาก 7.8MTA ในปี 2563 นอกจากนี้ spread ของ BZ ยังพุ่งขึ้นถึง 125% QoQ เป็น US$160/ton ใน 4Q63 จากการที่ spreads ของอนุพันธ์ BZ ปลายน้ำอย่าง BPA และ ABS พุ่งขึ้นหลังจากที่ผู้ผลิตยานยนต์ในเอเซียกลับเข้ามาในตลาด

Valuation and action

ปรับเพิ่มนํ้าหนักหุ้นกลุ่มพลังงานเป็น Overweight

เราปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานจาก Neutral เป็น Overweight เนื่องจากผลประกอบการของกลุ่มพลังงานมีแนวโน้มเติบโตสูง จากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่นในปี 2564 ซึ่งทำให้กำไรของหุ้นกลุ่มพลังงานที่เราดูแลอยู่โตรวมกันถึง 346% ในปี 2564 และโตอีก 24% ในปี 2565 นอกจากนี้ เรายังปรับเพิ่มราคาเป้ าหมายของหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี โดยอิงจากกำไรสุทธิช่วงปี 2564-65 จากเดิมที่อิงจากกำไรสุทธิปี 2564 เท่านั้น (Figure 2)

ยังคงเลือก TOP, ESSO และ SPRC เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน

เนื่องจากเรามองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่นในปี 2564 เราจึงชอบหุ้นโรงกลั่นที่ธุรกิจโรงกลั่นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของ EBITDA รวมอย่างเช่น TOP, ESSO และ SPRC ซึ่งสัดส่วนของ EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่นอยู่ที่ 60%, 70% และ 100% ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน Bangchak
Corporation (BCP.BK/BCP TB)*, IRPC Pcl. (IRPC.BK/IRPC TB)* และ PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC)* น่าจะได้อานิสงส์จาก GRM ที่เพิ่มขึ้น และกำไรจากสต็อกน้ำมันในปีนี้ ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ หุ้นโรงกลั่นทั้งหกแห่งเอาไว้เหมือนเดิม นอกจากนี้ เรายังคงคำแนะนำซื้อ
PTT Pcl. (PTT.BK/PTT TB)* ด้วยจากการที่บริษัทมีแผนจะนำ PTT Oil and Retail Business Company Limited (OR) เข้าจดทะเบียนใน SET ซึ่งเราคาดว่าจะได้เข้าไปอยู่ในการคำนวณดัชนี SET50 ด้วย

คงคำแนะนำถือ PTTEP, BANPU และ IVL

เราคงคำแนะนำ ถือ PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* เนื่องจากเรายังคงเป็นห่วงราคาขายก๊าซที่อยู่ในขาลง ซึ่งคาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 10% QoQ เหลือประมาณ US$5.6/mmbtu ใน 4Q63 แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงนี้ได้แรงหนุนจากการที่ซาอุดิอาระเบียตัดสินใจจะลดการผลิตน้ำมันดิบลงโดยสมัครใจ 1.0MBD ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ดังนั้น เราจึงแนะนำให้ซื้อ PTTEP เพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันเรายังคงคำแนะนำถือ Banpu Pcl. (BANPU.BK/BANPU TB)* เพื่อสะท้อนถึงมุมมองด้านลบต่อธุรกิจถ่านหินจากเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม, สังคม, และธรรมภิบาล (ESG) ตามที่นักวิเคราะห์กลุ่มสาธารณูปโภคของ KGI ระบุเอาไว้ในบทวิเคราะห์กลุ่มโรงไฟฟ้าเกี่ยวกับผลกระทบจากประเด็น ESG ต่อมูลค่าหุ้นในระยะยาวของบริษัท ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 แม้ว่าราคาถ่านหินในปัจจุบันจะวิ่งขึ้นมาถึง 31% QoQ เป็น US$64/ton ใน 4Q263 และยืนเหนือ US$80/ton อยู่ในขณะนี้ จากอุปสงค์ตามฤดูกาลในช่วงหน้าหนาว ทั้งนี้ในกรณีของ Indorama
Ventures (IVL.BK/IVL TB)* เรายังคงเป็นห่วงประเด็นอุปทานใหม่ของ PTA ที่จะเพิ่มเข้ามาในตลาดlสูงมาก 11.8MTA ในปี 2564 และอีก 7.1MTA ในปี 2565 ดังนั้นเรายังคงแนะนำถือ IVL