แกะรอยวิกฤติปี 2020 สู่ขุมทรัพย์แห่งปี 2021

แกะรอยวิกฤติปี 2020 สู่ขุมทรัพย์แห่งปี 2021

แกะรอยวิกฤติที่ทั่วโลกต้องเผชิญในปี 2020 โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆ ที่กระทบต่อเศรษฐกิจและลงทุน ขณะที่ปีนี้ตลาดหุ้นผันผวนสูงมาก นอกจากกลุ่มหุ้นที่ผันแปรตามเศรษฐกิจ อีกด้านก็มีกลุ่มที่เด้งรับความผันผวนไม่แน่นอนและสร้างขุมทรัพย์ให้กับนักลงทุนเช่นกัน

อีกไม่กี่อึดใจก็จะจบปี 2020 ปีที่ต้องจดจำเพราะเต็มไปด้วยความยากลำบาก และท้าทายกับผู้คนและองค์กรในทุกภาคส่วนรวมทั้งรัฐบาลทั่วโลก ตั้งแต่การเผชิญหน้ากับวิกฤติสาธารณสุขจากโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ที่หยุดและฉุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจจนดำดิ่งเป็นวิกฤติ ตลอดจนความปั่นป่วนของตลาดการเงินที่ราคาทุกสินทรัพย์ตกต่ำอย่างหนักในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่ามีนักลงทุนบางส่วนที่ยังเจ็บตัว แต่ก็มีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่แสวงหาโอกาสจากความผันผวนที่ผ่านมานี้ได้

ปี 2020 มีเหตุการณ์สำคัญมากมายที่กระทบเศรษฐกิจและลงทุน สรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้

1.การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เริ่มขึ้นจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ตั้งแต่ปลายปี 2019 และระบาดไปทั่วโลกราวเดือน ก.พ. จนองค์กรอนามัยโลกต้องประกาศให้เป็นโรคระบาด (Pandemic) ในเดือน มี.ค. ทำให้เกือบทุกประเทศต้องใช้มาตรการปิดบ้านปิดเมืองและจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทุกชนิดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด

2.ตามมาติดๆ ด้วยวิกฤติราคาน้ำมัน นอกจากความต้องการใช้น้ำมันถูกกดดันจากการปิดเมืองแล้ว ราคาน้ำมันยังถูกซ้ำเติมด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการแตกหักกันของซาอุดีอาระเบียแกนนำกลุ่มประเทศ OPEC กับรัสเซีย แกนนำฝั่ง Non OPEC ที่ตกลงปริมาณการผลิตกันไม่ได้ ทำให้ราคาน้ำมันดิบ WTI แตะจุดต่ำสุดในรอบ 18 ปี ที่ 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในวันที่ 30 มี.ค.

3.ในช่วงปลายปีทั่วโลกจับตาการเลือกตั้งสหรัฐ ที่ผลออกมาผิดคาดเล็กน้อย คือนายโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี และพรรคเดโมแครตยังครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่พรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะคงเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา ซึ่งการมีรัฐบาลที่ครอบครองโดย 2 พรรคใหญ่ นั่นหมายถึง การคานอำนาจและจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายหรือนโยบายอย่างมีนัยสำคัญหรือรวดเร็ว

4.เหตุการณ์ล่าสุดคือ การประกาศความสำเร็จของการทดลองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จาก 3 บริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำ เปรียบเหมือนของขวัญปีใหม่ที่ทั่วโลกรอคอย ซึ่งจะเป็นกุญแจปลดล็อกให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินเป็นปกติอีกครั้ง

แน่นอนว่าประเด็นใหญ่ข้างต้นกระทบเศรษฐกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะถดถอยเป็นครั้งแรกนับจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 โดยเศรษฐกิจประเทศส่วนใหญ่หดตัวแรงสุดในไตรมาส 2 ปี 2020 และฟื้นตัวในไตรมาส 3 ปี 2020 มีเพียงจีนเท่านั้นที่รอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ประกอบกับการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด

และอัศวินขี่ม้าขาวที่เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจก็คือธนาคารกลางทั่วโลกที่ลดดอกเบี้ยจนต่ำสุดในประวัติการณ์ รวมถึงอัดฉีดสภาพคล่องสู่ตลาดการเงินผ่านการซื้อสินทรัพย์ นอกจากนี้รัฐบาลก็ยังเป็นกำลังสำคัญในการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจที่กระแสรายได้ต้องหยุดชะงักลงจากการผลของมาตรการควบคุมโรคโควิด-19

สำหรับด้านการลงทุน ปีนี้ตลาดหุ้นผันผวนสูงมาก ดัชนีหุ้นโลก (MSCI All Country World Index) ลดลงถึง -34% ภายใน 1 เดือน และทำจุดต่ำสุดในวันที่ 23 มี.ค. หลังจากนั้นตลาดหุ้นก็สามารถรีบาวด์กลับมาจุดเดิมได้ภายใน 155 วัน และในปีนี้การบริหารเชิงรุกถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยหุ้นกลุ่มผู้ชนะในช่วงการแพร่ระบาดอย่างกลุ่มเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนได้สูงถึง 39% เนื่องจากได้รับประโยชน์จากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนและธุรกิจ

ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มที่แปรผันตามเศรษฐกิจอย่างพลังงานที่ติดลบถึง -31% และหากมาแยกดูรายประเทศนั้นพบว่าหุ้นจีน A-Shares ปรับเพิ่มขึ้นถึง +21% และแม้ว่าในช่วงปลายปี เม็ดเงินลงทุนบางส่วนจะโยกมาที่กลุ่ม Laggard (กลุ่มที่ผลตอบแทนยังติดลบ) ทำให้ SET Index ฟื้นตัว แต่ SET Index ยังเป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนน้อย คือติดลบ -6% (ผลตอบแทน ณ วันที่ 15 ธันวาคม) จากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก

ถึงแม้ว่าปี 2020 จะเต็มไปด้วยความท้าทายและความไม่แน่นอน แต่เชื่อว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่สามารถสร้างขุมทรัพย์ลงทุนซึ่งก่อให้เกิดผลตอบแทนอย่างโดดเด่นและเอาชนะตลาดได้ โดยอาศัยการลงทุนเชิงรุกผ่านผู้เชี่ยวชาญที่เลือกเฟ้นหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและเป็นผู้ชนะในช่วงการแพร่ระบาด