เลือกลงทุน...เกาะกระแสกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
เมื่อประเด็นการเมืองของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนวทางนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจนั้น มีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก !
เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญอย่างการเปลี่ยนขั้วอำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ตัวแทนของพรรคเดโมแครตอย่าง โจ ไบเดน ชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) 306 ต่อ 232 หรือผลการทดสอบวัคซีน COVID-19 ขั้นสุดท้ายของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Pfizer/BioNtech และ Moderna ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคที่สูงกว่า 90% จึงเป็นโอกาสที่มนุษยชาติจะได้กลับไปใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติได้อีกครั้ง และทำให้ทิศทางเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงนักลงทุนก็สามารถที่จะกำหนดกลยุทธ์การลงทุนหลังจากนี้ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเด็นการเมืองของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนวทางนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจนั้น มีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก โดยช่วงเวลาเกือบ 4 ปีก่อนหน้า (มกราคม ค.ศ. 2017 - พฤศจิกายน ค.ศ. 2020) ประธานาธิบดีคนก่อนอย่างนาย โดนัลด์ ทรัมป์ กับการดำเนินนโยบาย 'America First' ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีผลตอบแทนสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) +66.61% ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (NIKKEI225), จีน (CSI300), ยุโรป (STOXX 600) หรือ ไทย (SET) กลับทำผลตอบแทนได้เพียง +45.04%, +43%, +15.15% และ -8.38% เท่านั้น แต่หากทิศทางการบริหารประเทศเปลี่ยนไป อาจส่งผลให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นเปลี่ยนไปจาก 4 ปีที่ผ่านมา
นโยบายหลักของพรรคเดโมแครตที่ต่างจากรีพับลิกัน คือ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยจากการประเมินของสถาบัน Moody’s Analytics ตั้งสมมติฐานว่า หากพรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงส่วนใหญ่ทั้งสภาล่างและสภาบน (ส.ส. และ ส.ว.) หรือ Democratic Sweep 4 ปี หลังจากวันสาบานตนในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (มกราคม ค.ศ. 2021 เป็นต้นไป) จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการคลังขาดดุลเพิ่มขึ้นโดยรวมสูงกว่า 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยแหล่งที่มาของเงินคือการปรับขึ้นภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลไปสู่ระดับก่อนหน้าที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งแน่นอนว่าการขึ้นภาษีบุคคลธรรมดา จะทำให้รายได้สุทธิของประชาชนในประเทศลดลงและส่งผลลบต่อการบริโภคภายในประเทศ และในกรณีการขึ้นภาษีนิติบุคคลจะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทลดลง และอาจทำให้นักวิเคราะห์ประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมลดลงจากเดิมได้ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่น่าสนใจเหมือน 4 ปีที่แล้ว
นอกจากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ยังอาจต้องกู้เงินเพิ่มเติมผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำหนดไว้ ซึ่งปริมาณพันธบัตรเพิ่มขึ้นอาจเป็นตัวเร่งให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรปรับเพิ่มขึ้นจนอาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนมากขึ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยจะเคลื่อนไหวสวนทางกับสินทรัพย์ลงทุนทั้งตราสารหนี้และหุ้นได้ อย่างไรก็ดี ภาวะเศรษฐกิจจากผลกระทบของไวรัสแพร่ระบาด ทำให้ที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับเป้าหมายนโยบายการเงินเป็นยินยอมคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำต่อไปจนกว่าระดับการจ้างงานเข้าสู่ระดับเต็มอัตราและเงินเฟ้อขยายตัวสูงกว่า 2% เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนเป้าหมายไปประมาณ 1-2 ปีต่อจากนี้ ดังนั้นโดยสรุป มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะมีแหล่งที่มาของนโยบายการคลังและการเงินแบบผ่อนคลายควบคู่กันไป
ดังนั้น สถานการณ์เช่นนี้ ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) อาจได้รับอานิสงส์จากสภาพคล่องของการทำ QE คล้ายกับช่วงหลังเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งสภาพคล่องจะเป็นตัวหนุนให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก เช่น ตลาดหุ้น นอกจากนี้ ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสทางฝั่งเอเชียที่ไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีน ดังนั้นหากประเทศจีนที่เป็นตลาดหุ้น EM ทยอยเปิดประเทศอย่างระมัดระวังในช่วงที่วัคซีนผลิตและแจกจ่าย จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่การระบาดยังรุนแรง อีกทั้งหากเราพิจารณาระดับราคาหุ้นด้วย P/E Ratio จะพบว่าตลาดหุ้นจีนยังไม่แพงจนเกินไป เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นฝั่งตะวันตกในปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ ที่คงดำเนินนโยบายทั้งด้านการคลังและการเงินแบบผ่อนคลายในอีก 1 - 2 ปีข้างหน้า รวมทั้งผลการทดสอบวัคซีนที่คืบหน้าไปในทางที่ดี จึงอาจเลือกเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม EM ซึ่งได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของสหรัฐฯ รวมทั้งเป็นกลุ่มประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า ภายหลังทั่วโลกเริ่มผลิตและแจกจ่ายวัคซีนในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี ค.ศ. 2021 เป็นต้นไป
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I บทความโดย ศิวกร ทองหล่อ AFPTTM Wealth Manager