สัปดาห์นี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.23-31.46 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะมาปิดตลาดที่ระดับ 31.32-31.33 บาทต่อดอลลาร์
โดยภาพรวมสัปดาห์นี้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ต่ำใกล้ระดับ 0% ต่อเนื่องอีกนาน หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ประกาศว่าเฟดจะเปิดทางให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงาน และเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจึงกดดันดอลลาร์ให้มีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญอื่นๆ รวมถึงค่าเงินบาท
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในช่วง 1 สัปดาห์ข้างหน้า ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.00-31.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 15-16 ก.ย.ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่นจะประชุมในวันที่ 16-17 ก.ย. และธนาคารกลางอังกฤษในวันที่ 17 ก.ย.
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (11 ก.ย.) ปิดการซื้อขายที่ 1,279.96 จุด ลดลง -10.93 จุด หรือ -0.85% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 44,155.39 ล้านบาท ขณะที่ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าประเมินว่าดัชนีฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในแดนลบต่อ เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากประเด็นการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในส่วนของการเมืองภายในประเทศจะมีการนัดชุมนุมใหญ่ วันที่ 19 ก.ย.นี้ ซึ่งหลายคนวิตกอาจมีความยืดเยื้อและรุนแรง ขณะที่ประเด็นการเมืองในต่างประเทศยังต้องติดตามความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงรอดูความชัดเจนของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกดดัน ดังนั้น นักลงทุนจะต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตามประเมิน กรอบดัชนีไว้ที่ระดับ 1,260-1,300 จุด
ด้านความเคลื่อนไหวของราคาทองคำอยู่ที่ 1,945.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศอยู่ที่ 28,850 บาทต่อบาททองคำ ด้านวายแอลจี บูลเลี่ยนอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ระบุว่าในระยะสั้นราคาทองคำไซด์เวย์ จึงแนะนำให้ลงทุนในระยะสั้น โดยเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวไม่หลุดแนวรับ 1,936-1,927 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีจุดขายทำกำไรในบริเวณแนวต้าน 1,956-1,966 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาหลุดแนวรับแรกให้ชะลอการเข้าซื้อไปที่แนวรับถัดไปในโซน 1,906 ดอลลาร์ต่อออนซ์