‘หุ้นไทย’อัพไซด์จำกัด ‘บัวหลวง’แนะลงทุนตปท.

‘หุ้นไทย’อัพไซด์จำกัด  ‘บัวหลวง’แนะลงทุนตปท.

บล.บัวหลวง แนะกระจายพอร์ตลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศ เน้นอีคอมเมิร์ซ-ซอฟต์แวร์-เฮลธ์แคร์  เหตุอัพไซด์ตลาดหุ้นไทยเริ่มจำกัด คาดตลาดจะฟื้นตัวกลับมาเท่าก่อนโควิดอาจต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี บลจ.บัวหลวง แนะนำลงทุนยาวเกิน 10 ปี จัดพอร์ตลงทุนทั้งหุ้นไทย-ตปท.

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โอกาสดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นจำกัดแล้ว และหุ้นตัวเลือกในการลงทุนลดน้อยลง จึงแนะนำให้นักลงทุนควรหันมาลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่ในตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีมากนักหรือหาไม่ได้ เช่น กลุ่มอีคอมเมิร์ซ, ซอฟต์แวร์และเฮลธ์แคร์

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ มองว่าดัชนีฯน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,280-1,450 จุด ซึ่งปัจจัยกดดันตลาดหุ้นหลักๆ มาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่อาจยาวนานกว่านักลงทุนคาด, ภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว และกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ลดลงแรงกว่าที่คาด ขณะที่ดัชนีสิ้นปี 2563 คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 1,360 จุด โดยเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวกลับไปเท่ากับก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ที่อยู่ในระดับ 1,520 จุด อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปีนี้ข้างหน้า

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงภาวะตลาดหุ้นผันผวน แนะนำนักลงทุนกระจายความเสี่ยง โดยแบ่งเป็นหุ้นกู้และตลาดเงิน สัดส่วน 40%, ทองคำสัดส่วน 12%, กองทุนอสังหาริมทรัพย์, กองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สัดส่วน 7% และตลาดหุ้นไทยสัดส่วน 10% รวมถึงอีก 31% ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ

นายสันติ ธนะนิรันด์ ประธานเจ้าหน้าที่ลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า คาดตลาดหุ้นไทยจะกลับมาดีขึ้นในปี 2564 แต่ยังดีไม่ดีเท่ากับในปี 2561 ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ที่ 3-4% มองผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นไทยรวมปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% ดังนั้นมั่นใจว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้มีอัพไซด์และดาวน์ไซด์ค่อนข้างจำกัดแล้ว

อย่างไรก็ตามหุ้นไทยยังมีอุปสรรคจากธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดฯที่ส่วนใหญ่ผูกติดกับวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น ธนาคาร น้ำมัน และเป็นธุรกิจที่ถูก ดิสรัปของเทคโนโลยี ดังนั้นเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการลงทุน แนะนำว่าผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มหุ้นจีน ยังเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนมากที่สุด อีกทั้งจัดพอร์ตลงทุนควรกระจายการลงทุนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการลงทุนความเสี่ยงที่รับได้ รวมถึงหากเดิมมีสินทรัพย์เสี่ยงอยู่น้อยเกินไป ก็ควรเพิ่มสัดส่วนนี้

สำหรับนักลงทุนที่รับเสี่ยงและลงทุนยาวเกิน 10 ปีได้ แนะนำควรจัดพอร์ตลงทุนที่มีหุ้นสัดส่วน 75% ทั้งหุ้นไทยและต่างประเทศ ส่วนที่เหลือแบ่งลงทุนในตราสารหนี้, กองรีท, กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ