ใครได้ใครเสีย แผนพัฒนา 'อีวี'

ใครได้ใครเสีย แผนพัฒนา 'อีวี'

อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ ปี 2561 บทบาทต่อจีดีพีประเทศคิดเป็น 5.8% แต่เมื่อนวัตกรรมเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ทำให้หันมามองอีวีกันมากขึ้น แล้วใครจะได้ หรือเสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้บ้าง

ในขณะที่โลกยานยนต์กำลังพุ่งความสนใจไปที่เรื่องของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) รวมถึงประเทศไทย ที่พูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น ในระยะหลัง ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึง ประชาชนทั่วไปที่ต้องการเห็นการขยายตัวที่รวดเร็ว

แต่ก็มีบางความคิดเห็นที่ตั้งข้อสงสัยว่า จริงๆ แล้วเมืองไทยมีความพร้อมสำหรับอีวีมากน้อยแค่ไหน และนอกจากผลดีที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรม หรือว่าสิ่งแวดล้อมแล้ว จะมีผลเสียหรือผลกระทบอะไรหรือไม่

เมื่อไม่นานมานี้ มีผลการศึกษาใน “โครงการวิเคราะห์ผลกระทบของห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) เพื่อพัฒนานโยบายการพัฒนาและปรับตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยเพื่อรองรับ EV” โดยคณะพาณิชยการและการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

รศ.ดร.รุธิร์ พนมยงค์ หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ ปี 2561 มีการผลิตรถยนต์รวมกว่า 2 ล้านคัน และมีบทบาทต่อจีดีพีประเทศคิดเป็น 5.8% แต่เมื่อนวัตกรรมเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ทำให้หันมามองอีวีกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องการรู้ว่ามีความพร้อมแค่ไหนในทุกๆ ด้าน ก็จะต้องมีการศึกษาวิจัย อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เป็นแค่ข้อมูลเบื้องต้น เนื่องจากมีระยะเวลาโครงการ และงบประมาณที่จำกัด

สำหรับแนวทางการวิจัยครั้งนี้ ใช้วิธีการสัมภาษณ์หน่วยงานรัฐ, มหาวิทยาลัยในจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อีวี ผู้ประกอบการในญี่ปุ่น ซึ่งมีเทคโนโลยีไฟฟ้าที่โดดเด่นเช่นกัน แต่ภาพรวมส่วนใหญ่มุ่งไปที่ไฮบริด มากกว่าอีวี และผู้ประกอบการในไทยในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นสวนระดับเทียร์ 1-3 (tier 1-3) รวมถึงหน่วยงานรัฐอย่างสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

การศึกษาวิจัยพบว่า ในเชิงเศรษฐกิจของประเทศ มีผลกระทบเชิงลบมากกว่าเชิงบวก จากการที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนหลายอย่างไม่เป็นที่ต้องการของอีวี เช่น ชิ้นส่วนเกี่ยวกับเครื่องยนต์ พลังงาน ระบบส่งกำลัง ไอเสีย ระบบระบายความร้อน เป็นต้น

ขณะที่ชิ้นส่วนที่จะได้รับผลดีคือ ชิ้นส่วนเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า สายไฟ แต่สิ่งที่เป็นผลบวก ไม่ครอบคลุมสิ่งที่ได้รับผลกระทบด้านลบ โดยระบุว่า ในสถานการณ์ปกติ ช่วงปีที่ 1-5 ค่าเฉลี่ยด้านบวกที่ได้คือ 84 ล้านบาท แต่ถ้าหากมีการลงทุนด้านแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าในประเทศจะเพิ่มเป็น 2,374 ล้านบาท แต่ผลกระทบด้านลบปีที่ 1-5 เฉลี่ย 4,579 ล้านบาท

ปีที่ 6-10 ผลกระทบเชิงบวก เฉลี่ย 264 ล้านบาท กรณีมีแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มเป็น 7,588 ล้านบาท แต่ผลกระทบเชิงลบ เฉลี่ย 1.46 หมื่นล้านบาท

แต่หากเป็นสถานการณ์ที่ได้รับการสนับสนุนความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงสู่อีวี คือ การมีความพร้อมด้านต่างๆ ครบถ้วน ทั้งมาตรการสนับสนุนด้านต่างๆ และสถานีชาร์จ ผลกระทบเชิงบวกช่วงปีที่ 1-5 เฉลี่ย 128 ล้านบาท หากมีแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า เพิ่มเป็น 3,566 ล้านบาท ส่วนผลกระทบด้านลบ 6,876 ล้านบาท ปีที่ 6-10 ผลกระทบเชิงบวก เฉลี่ย 839 ล้านบาท รวมแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า เป็น 2.37 หมื่นล้านบาท แต่ด้านลบ 4.57 หมื่นล้านบาท

1584711518100


ยังมีการศึกษาทางด้านแรงงานด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเทคโนโลยี มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและแรงงาน โดยช่วงปีที่ 1-5 ผลเชิงบวกมีน้อยมาก แต่ผลเชิงลบ เฉลี่ย 1,057 คน ปีที่ 6-10 ผลเชิงบวก จะมีการจ้างงาน 100-300 คน เชิงลบ มีแรงงานได้รับผลกระทบ 3,350 คน

กรณีได้รับการสนับสนุนความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงสู่อีวี ช่วงปีที่ 1-5 ผลเชิงบวกไม่มีผลหรือน้อยมาก เชิงลบ 1,595 คน ส่วนปีที่ 6-10 จะมีการสร้างงาน 100-300 คน แต่แรงงานที่ได้รับผลกระทบอยู่ที่ 1.05 หมื่นคน

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยระบุว่า ทั้งหมดเป็นการตั้งสมมติฐานว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีขนาด 2 ล้านคัน/ปี แต่หากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง ตลาดอาจจะหดตัวลง หรือเพิ่มขึ้น หมายถึงผลกระทบทั้ง 2 ด้านจะเปลี่ยนแปลงไป เช่น หากตลาดลดลง ผลด้านบวกที่จะได้ก็อาจจะลดลง

“อย่างไรก็ตาม การจำลองผลกระทบนี้ยังมีข้อจำกัด แต่ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงแนวโน้ม และจากนี้ไปผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ควรจะต้องทำงานร่วมกันมากขึ้น ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และผู้บริโภค”

ทั้งนี้ภาครัฐ ที่รู้ข้อมูลแล้วว่า ผลด้านลบมีมากกว่าด้านบวก ก็จะสามารถกำหนดแนวทางจากนี้ไปให้สมดุลยิ่งขึ้น ทั้งการส่งเสริม การเยียวยา และการสร้างการรับรู้

ยังมีประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือแรงงาน ก็คือ มุมมองของผู้คนจำนวนหนึ่งที่มองว่า อีวียังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย และในอนาคตอีวีก็อาจจะถูกดิสรัปได้เช่นกัน แต่จะเป็นอะไรที่มาแทนนั้น รุธิร์ระบุว่า น่าเสียดายที่ขอบข่ายการวิจัยครั้งนี้ ข้อมูลที่ได้ไม่สามารถเข้าถึงได้

ส่วนผลที่ได้ทั้งหมด ได้ส่งผล ผ่านต่อไปยังสภาอุตสาหกรรม เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่ส่งต่อไปยังภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป

อย่างไรก็ตามทีมผู้ศึกษาวิจัย ย้ำว่านี่เป็นการศึกษาบนพื้นฐานในปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลกระทบเชิงลบนั้นมากกว่าด้านบวก เมื่อไทยจะเปลี่ยนผ่าน อย่างไรก็ตาม หากโลกเปลี่ยนแปลงสู่อีวีอย่างเต็มรูปแบบ การที่เราไม่เปลี่ยนแปลง ความเสียหายอาจจะมากกว่าก็เป็นได้เช่นกัน