RATCH - ซื้อ

RATCH - ซื้อ

ตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่อีก 780MWe

Event

4Q19 analyst meeting.

lmpact

ตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่อีก 780MWe ในปี นี้จากโครงการ Greenfield และดีล M&A ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ผู้บริหารตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอีก 780MWe จากปัจจุบันที่ 7.1GWe (ก่อนจะหัก PPA ของ TECO ซึ่งจะหมดสัญญาในเดือนกรกฎาคม 2563) โดยกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (200MWe คาดว่าจะเป็นโครงการในออสเตรเลีย) จากดีล M&A
(350MWe คาดว่าจะเป็นโครงการในประเทศไทย และในต่างประเทศ) และโครงการ green field (คาดว่าจะเป็นโครงการในเวียดนาม) นอกจากนี้ RATCH ยังตั้งเป้าจะลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานอีก 5% ของงบลงทุนรวม (ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท) ในปีนี้ด้วย ในขณะเดียวกัน บริษัทก็คาดว่าจะ
สามารถเซ็นสัญญา PPP สำหรับงาน O&M โครงการมอเตอร์เวย์ (บางปะอิน – โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี) ได้ใน 2Q63 ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังจะเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกร่วมกับ BTS consortium (คาดว่าจะออก TOR ได้ใน 2Q63)

ผู้บริหารไม่ห่วงผลกระทบจากภัยแล้งต่อ IPP และ SPP

โรงไฟฟ้าทั้ง IPP และ SPP ของ RATCH ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตก และภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งมีน้ำพอสำหรับผลิตไฟฟ้า ซึ่งจากการวิเคราะห์ sensitivity เราพบว่าประมาณการกำไรปีนี้ของ RATCH มี downside จากเรื่องภัยแล้งเพียงแค่ 0.2% เท่านั้น เรายังคงสมมติฐานปริมาณยอดขายไฟฟ้าให้
ผู้ใช้ไฟในภาคอุตสาหกรรมเอาไว้เท่าเดิม เนื่องจากยอดขายให้กับ IU ใหม่ช่วยลดผลกระทบด้านลบจากการที่ปริมาณยอดขายไฟฟ้าให้ IU เดิมลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง

ปรับลดประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปี 2563 ลง 2.0% จากผลกระทบของภัยแล้งต่อ NN2

เราปรับลด capacity factor ของโครงการ NN2 ลงจากเดิมที่ 40.0% เหลือ 34.0% ในปี 2563 เนื่องจากมีปริมาณน้ำเข้าเขื่อนต่ำในปี 2563 และได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ El Nino ดังนั้น จึงทำให้รายได้ equity income ลดลง 2.3% ทั้งนี้ โครงการหงสาตั้งเป้า EAF ไว้ที่ 86% (เราคาดไว้ที่ 85%) ดีขึ้นจาก 81%ในปี 2562 (เนื่องจากมีการปิดโรงไฟฟ้านอกแผนเพราะเกิดแผ่นดินไหวในลาว) ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะทำ major overhaul ที่ unit 2 เป็นเวลา 56 วัน และทำการตรวจสอบประจำปี unit 3 เป็นเวลา 28 วันใน 3Q62

Valuation & Action

เราปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น RATCH จาก ถือ เป็น ซื้อ และให้ราคาเป้าหมาย DCF ปี 2563 ที่ 76.00 บาท เนื่องจาก i) ประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปีนี้ยังมี upside อีกถึง 11% ii) มีแผนขยายกำลังการผลิตที่น่าสนใจ และ iii) มี downside จากภัยแล้งจำกัด

Risks

Delays in new capacity allocation, changes in the country’s regulations, power plant outages, and delays in the construction of new projects.