'ทีคิวเอ็ม' เคาะราคาไอพีโอ 23 บาทต่อหุ้น

'ทีคิวเอ็ม' เคาะราคาไอพีโอ 23 บาทต่อหุ้น

“ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น” เคาะราคาไอพีโอ 23 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อ 12-14 ธ.ค.นี้ ก่อนเข้าเทรด 20 ธ.ค.นี้

บริษัททีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 23บาท โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อได้ในวันที่ 12 – 14 ธันวาคมนี้ โดยมีบล.ธนชาต และ บล.บัวหลวง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO พร้อมแต่งตั้ง บล.เคจีไอ (ประเทศไทย), บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) และ บล.ไทยพาณิชย์ เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย คาดว่าหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในวันที่ 20 ธันวาคมนี้

นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า บริษัทจากผลการสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจเป็นอย่างมากและได้แสดงความต้องการจองซื้อหุ้นราคาสูงสุดที่ 23บาท สะท้อนความเชื่อมั่นในพื้นฐานของ TQM ที่เป็นบริษัทที่มีมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจสร้างนายหน้าประกันภัย
ดังนั้นจึงได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 23บาท โดยบริษัทและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายจะจัดสรรหุ้น TQM ให้แก่นักลงทุนสถาบันเป็นจำนวนรวม 50 ล้านหุ้น หรือประมาณร้อยละ 67 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้

นางสาวพิมพ์ผกา นิจการุณ กรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต กล่าวว่า การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ TQM จะนำไปใช้พัฒนาโครงการสำหรับปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และโครงการพัฒนากระบวนการทางธุรกิจ โดยลงทุนในระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) รวมถึงเพิ่มทุนชำระแล้วในบริษัทแกน ได้แก่ บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด (“TQM Broker”) และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท โดยเป็นทุนที่ชำระแล้ว 225 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.0 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 75,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 25.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งในจำนวนนี้จะจัดสรรให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย (ESOP)จำนวนประมาณ 6,100,000หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.03ของทุนชำระแล้วภายหลังจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายทั้งหมด และส่วนที่เหลือจะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป

ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานบริษัทบมจ.ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น หรือ TQMผู้นำธุรกิจให้บริการนายหน้าประกันภัยในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “TQM ไม่หยุดทำดีที่สุดเพื่อคุณ”กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ บริษัทฯแบ่งการให้บริการเป็น4 ด้าน คือ

(1) ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ให้บริการผ่าน บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด (“TQM Broker”)โดยมีการขายผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยทั้งสิ้นกว่า 130 ผลิตภัณฑ์ ทั้งในกลุ่มประกันรถยนต์ (Motor) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และกลุ่มประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ และกลุ่มประกัน Non-Motor ในรูปแบบประกันอัคคีภัย ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง และประกันวินาศภัยเบ็ดเตล็ด เป็นต้น
(2)ธุรกิจนายหน้าประกันชีวิต ดำเนินธุรกิจผ่าน บริษัท ทีคิวเอ็ม ไลฟ์ อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด (“TQM Life”) ซึ่งมีการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตทั้งสิ้นกว่า 20 ผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมทั้งประกันชีวิตประเภทรายบุคคลและประกันชีวิตประเภทกลุ่ม

(3) ธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและซอฟต์แวร์ผ่านบริษัท แคสแมท จำกัด (“Casmatt”) ซึ่งครอบคลุมการให้คำปรึกษาด้านกระบวนการทางธุรกิจ งานวิจัยตลาดดิจิตอล และ (4)ธุรกิจให้บริการด้านคำแนะนำเกี่ยวกับประกันภัย ผ่านบริษัท ทีคิวแอลดี จำกัด (“TQLD”) ซึ่งเป็นบริษัทร่วม เพื่อเป็นช่องทางให้กับลูกค้าในการค้นหาและเปรียบเทียบข้อมูลประกันภัยได้อย่างรวดเร็ว และประหยัดเวลา ผ่านรูปแบบการกรอกข้อมูลของลูกค้า
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีพันธมิตรที่เป็นบริษัทประกันภัยกว่า 40 แห่ง มีพนักงานขายที่ได้รับใบอนุญาตนายหน้าประกันภัยให้บริการกว่า 2,000 คน ผ่านสาขาและศูนย์บริการทั่วประเทศรวม 95 แห่ง ที่สามารถให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมและทั่วถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย

ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตที่ดี โดยในปี 2558 - 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,184 ล้านบาท 2,226 ล้านบาท และ 2,281.7 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโต 1.9% ในปี 2559 และเติบโต 2.5% ในปี 2560 หรือคิดเป็นอัตราเติบโตสะสมเฉลี่ย (CAGR) 2.2% ต่อปี

ส่วนช่วง 9เดือนแรก (มกราคม. – กันยายน) ของปี 2560 และ 2561 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,651.9 ล้านบาท และ 1,818.2ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโต 10.1%

ส่วนกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 140.4 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 178.2 ล้านบาท ในปี 2559 เป็น 268.3 ล้านบาทในปี 2560หรือคิดเป็นอัตราเติบโตสะสมเฉลี่ย (CAGR) 38.3% ส่วนในช่วง 9เดือนแรก (มกราคม – กันยายน) ของปี 2561 กำไรสุทธิ 276.1ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 213 ล้านบาท