'ฟอเร็กซ์' สูตรรวย 'เคนเนธ คัม'

'ฟอเร็กซ์' สูตรรวย 'เคนเนธ คัม'

'เคนเนธ คัม' เจ้าของหนังสือ “ดุลยภาพการฝึกกรอบความคิดทางการเงิน” โชว์รีเทิร์นต่อเดือน 10-15% พร้อมเผยเคล็ดลับ 'ซื้อราคาถูกขายแพง' ชนะตลาดฟอร์เร็กซ์ สูตรรวยรอบใหม่ 'ศูนย์' เพิ่มขึ้นทุกปี

'ความสมดุลระหว่างฟอเร็กซ์และชีวิต' หนึ่งในประโยคของ 'เคนเนธ คัม' เจ้าของหนังสือ 'ดุลยภาพการฝึกกรอบความคิดทางการเงิน' (The Equilibrium Training The Money Mindset) ที่อาจทำให้มนุษย์เงินเดือนหลากหลายอาชีพ ตัดสินใจผันตัวเองมาสู่เส้นทางนักลงทุน 'เทรดเดอร์' ในโลกของ 'ตลาดซื้อขายเงินต่างประเทศ' (ฟอเร็กซ์) และต้องการออกมาสร้างอิสรภาพทางการเงิน 

หนึ่งในหลายๆ เนื้อหา ภายในหนังสือจะสอนให้รู้จัก 'บันได 4 ขั้น' ของการเรียนรู้ ซึ่งแต่ละด้านเป็นตัวแทนของความเชี่ยวชาญไม่ว่าจะสาขาใด เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการเป็นนักเทรดเดอร์ในตลาดฟอเร็กซ์ ซึ่งเป็นตัวแทนความสำเร็จว่ามาจากที่ไหน นั้นคือ บันได้ขั้น 1.'ไร้สำนึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ' นั่นคือ การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ต้องเริ่มต้นจากการไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร หรือแม้กระทั้งไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง 

บันไดขั้น 2.'สำนึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ' หมายความว่า ต้องรู้ตัวเองดีว่าสามารถทำอะไรได้บ้างหรือทำสิ่งไหนไม่ได้บ้าง  ดังนั้น การรวบรวมข้อมูลต่างๆ และจับตามองคนอื่นบ้าง ทำให้จิตสำนึกสามารถแยกแยะอย่างรวดเร็วและซึมซับสิ่งที่ไม่รู้ก่อนหน้านั้น 

บันไดขั้น 3.'สำนึกว่าตัวเองมีความสามารถ' ถือว่าเป็นขั้นที่ทุกอย่างเริ่มต้นอย่างแท้จริง ซึ่งตอนนี้มีครบทั้งทักษะและรู้วิธีการซื้อขาย การที่มาถึงบันไดขั้นนี้ได้สามารถสร้างความพึ่งพอใจได้แล้ว จนส่วนใหญ่สำคัญผิดคิดว่าความสำเร็จนี้เป็นจุดหมายปลายทางของการเรียนรู้แล้ว แต่ในความเป็นจริงเป็นแค่เทรดเดอร์ระดับเฉลี่ยปานกลางอาจยังไม่ถึงขั้นผู้เชียวชาญระดับมือทอง 

และบันไดขึ้นสุดท้าย 'ไร้สำนึกถึงความสามารถ' หมายถึงว่า สามารถซื้อขายโดยอาศัยสัญชาติญาณ ราวกับว่าแทบไม่ต้องใช้ความคิด คล้ายกับประสบการณ์ของคนขับรถที่อยู่เบื้องหลังพวงมาลัย

สำหรับนักเทรดเดอร์ระดับแนวหน้าในตลาดฟอเร็กซ์ของประเทศสิงคโปร์ 'เคนเนธ คัม' มาเล่าประสบการณ์ความสำเร็จลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์ให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟัง ก่อนเขาจะขึ้นเวทีสัมมนา 'The Secrets of Financial Freedom' ในวันที่ 3 มี.ค.2561  

'เคนเนธ' เป็นชาวสิงคโปร์ เกิดและเติบโตที่ประเทศสิงคโปร์ ด้วยความที่ครอบครัวมีความเข้มงวดในเรื่องการเรียน และคิดว่าความสำเร็จทางการศึกษาหมายถึงความยิ่งใหญ่ในอนาคต แต่ทฤษฎีดังกล่าวกลับสวนทางกับความเป็นจริงในชีวิตของผม คือ ผมนั้นไม่สามารถคว้าประกาศนียบัตรสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจากสิงคโปร์โปลีเทคนิคมาครอบครองได้ ทว่าในช่วงที่เรียนหนังสือนั้น ผมเรียนเก่งอยู่สองวิชา 'คณิตศาสตร์-คอมพิวเตอร์' ส่วนวิชาอื่นๆ ผมตกหมด...! 

หลังจากโดดเชิญออกจากการเรียน ผมเริ่มต้นหางานทำที่แรกด้วยการเป็นพนักงาน 'ร้านแมคโดนัลด์' โดยทำหน้าที่ทอดเฟรนช์ฟรายส์ ทว่าวันหนึ่ง...! แม่พูดกับผมว่างานที่ทำอยู่ไม่มั่นคงนะลูก ทำไมไม่หางาน 'ประจำ' (Full time) คำพูดดังกล่าวทำให้ผมต้องมองหางานใหม่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เป็นงานบริษัทและมีความมั่นคงกว่านี้   

และได้ไปทำงานประจำที่บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งเพียง 7 เดือน ผลงานของผมประสบความสำเร็จอย่างสูงติดต่อกัน จากกลยุทธ์เจาะตลาดกลุ่ม 'คุณป้า' ด้วยการเสนอนโยบายประกันชีวิตวันละ 1 ดอลลาร์สิงคโปร์  

จากงานประกัน ได้งานใหม่เป็นตัวแทนฝ่ายขาย (เซลล์) ให้กับโรงเรียนคอมพิวเตอร์ ภายใน 1 เดือน สามารถทำยอดขายทะลุเพดาน หลังจากผมก็อยู่ในแวดวงการตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) มาตลอดจนโดนเลิกจ้าง และออกหางานใหม่ด้วยการยื่นใบสมัครไปกว่า 1,500 แห่ง แต่ไม่ได้เพราะอายุมากแล้ว (45 ปี) ทั้งในสิงคโปร์ , ฮ่องกง จนกระทั้งมาเมืองไทยได้งานการตลาดดูแลตึกย่านสุรศักดิ์ แม้เงินเดือนน้อยกว่าเดิม 50% แต่สามารถอยู่ในเมืองไทยแบบสบายๆ เนื่องจากมีค่าครองชีพต่ำ 3-5 เท่า หากเทียบกับประเทศสิงคโปร์  

'เคนเนธ' เล่าให้ฟังว่า เริ่มลงทุนครั้งแรกใน 'ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า' (Commodities future) อาทิ กาแฟ ,น้ำตาล ,ถั่วเหลือง ,หมูสามชั้น ,ทอง และเงิน เป็นต้น รวมทั้งการลงทุนใน 'ตลาดหุ้นสิงคโปร์' แต่ตนเองรู้สึกว่าไม่ชอบการลงทุนหุ้นเพราะว่ากว่าจะได้ 'ผลตอบแทน' ประมาณ 10% ต้องรอไม่ต่ำกว่า 1 ปี ขณะที่เทรดตลาดฟอเร็กซ์ หรือ ตลาด Commodities จะได้ 'รีเทิร์นราว 10-15% ต่อเดือน' แม้จะมีความผันผวนของตลาดมากกว่าแต่ผมชอบความตื่นเต้น     

'ลงทุนฟอเร็กซ์ก็เปรียบเหมือนการแข่งรถ F1 ที่ลงสนามแล้วต้องใช้ความเร็วและSkillมากกว่าการขับรถแบบอื่น แม้เราจะเคลียดแต่หากควบคุมได้ก็ไม่มีปัญหา เราก็สามารถเอาชนะตลาดได้ ด้วยการเรียนรู้และอยู่กับสิ่งนั้นได้'      

ทั้งนี้ ปัจจุบันสนใจลงทุนในตลาดซื้อขายเงินต่างประเทศ นั่นคือ 'ยูโรดอลลาร์'  อย่างเดียว ซึ่งลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์ลงทุนมาแล้วบ้างแต่เป็นการซื้อขายแบบไม่เต็มเวลา (Part-time) แต่หลังจากตัดสินใจว่าจะยึดอาชีพนักลงทุนแบบ 'เทรดเดอร์' เต็มเวลาหลังลาออกจากงานประจำ จึงมีเป้าหมายของตนเองว่า 'ต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญการซื้อขายอย่างเดียวมากกว่ารู้ทุกอย่างเป็นเป็ด'    

เขา บอกว่า จุดเริ่มต้นของการลงทุนด้วยจำนวนเงิน 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ด้วยกลยุทธ์การลงทุน 'ซื้อถูกขายแพง' ซึ่งนำวิธีดังกล่าวมาปรับใช้จากประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้น และการแสวงหาความสามารถโดยธรรมชาติมาปรับใช้ ปรากฏว่าแค่เพียง 2-3 เดือน จำนวนเงินเพิ่มเป็น 60,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ก่อนขยับมาเป็น 120,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ 

ทว่า ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไปทั้งหมด สะท้อนผ่าน 'กำไรหลายเท่าตัว' แต่ก็มี 'ข้อเสีย' นั่นคือ ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละ 8-20 ชั่วโมง และสุขภาพเสีย ดังนั้น จากการเติบโตของเงินแบบ 'ก้าวกระโดด' ครานั้นถือเป็นบทเรียนชีวิตครั้งใหญ่ เพราะว่าตอนนั้นใช้กลยุทธ์การลงทุนลักษณะเข้า-ออก โดยไม่หลับไม่นอนไม่กินอาหารด้วยทำแบบนี้จันทร์-ศุกร์ ตลอด 24 ชั่วโมง  แบบว่า 'ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันราว 2 สัปดาห์ ร่างกายเริ่มแย่ลงป่วยไป 2 สัปดาห์'      

'หลังจากที่ตัวเองป่วยหนักเช่นนั้น ก็ตระหนักได้ว่า จะลงทุนก็ต้องมีร่างกายที่พร้อม ไม่เช่นนั้นก็เทรดไม่ได้ ฉะนั้น ต้องทำให้ชีวิตบาลานซ์กัน ถือว่าได้บทเรียนชีวิตไป'  

หลังจากนั้น มีเพื่อนแนะนำให้ไปเข้าคอร์สเรียน 'landmark' เรียน 3 วัน ค่าคอร์สเรียนอยู่ที่ 20,000 บาท ซึ่งเป็นคอร์สเรียนเกี่ยวข้องกับการควบคุมกรอบความคิดของตัวเอง หมายความว่า เราสามารถเปิดปิดความกลัว , ความโลภ และอารมณ์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง และจากการเรียนทำให้รู้วิธีควบคุมกรอบความคิดของตัวเอง 

เมื่อเรียนจบคอร์สดังกล่าว ทำให้วิถีชีวิตการลงทุนของตัวเองเปลี่ยนไปมาก สะท้อนผ่านในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา จำนวนเงินเพิ่มขึ้นมาเป็น 150,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ และในปีที่ 3 จำนวนเงินเพิ่มขึ้นมาแตะระดับ '1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์' เป็นครั้งแรก และปัจจุบันจำนวนเงิน 'มากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์'  

ช่วงที่จำนวนเงินในพอร์ตขยับ 'โดดเด่นสุด' คือ ตอนที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาพลิกโผจากเดิมมีการคาดการณ์ว่า 'ฮิลลารี่ คลินตั้น' จะเป็นผู้ได้รับชัยชนะครั้งนี้ แต่ปรากฎว่าผลการเลือกตั้งกลับกลายเป็น 'โดนัลด์ ทรัมป์' ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45  ตอนนั้นผมตัดสินใจเข้าซื้อฟอเร็กซ์ไว้ก่อน และถือรอจนกระทั้ง 'ทรัมป์' แถลงนโยบายและตลาดตอบรับนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาทันที...!  

ทว่าผ่านไป 2-3 สัปดาห์ นโยบายที่แถลงยังไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริง ตอนนั้นดูจากสถานการณ์แล้วตัดสินใจเทขาย 'ยูโรดอลลาร์' ทั้งหมด เป็นจังหวะเดียวกับทรัมป์มีนโยบายสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า เพื่อทำให้ส่งออกดีขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ขายพอดีทำให้ได้กำไร 'ราว 3 แสนดอลลาร์สิงคโปร์' (ประมาณ 8-9 ล้านบาท) ภายใน 1 วัน   

สุดท้าย 'นักเทรดเดอร์' ทิ้งท้ายว่า การลงทุนแต่ละครั้งต้องทำการบ้านก่อน ซึ่งการเทรดเกี่ยวข้องกับทักษะเพียงแค่ 10% เท่านั้น แม้กระทั้งตัวผมเองมีประสบการณ์มากว่า 20-30 ปี ทุกวันก่อนซื้อขายก็ยังต้องศึกษาและทำการบ้านตลอด 

'พื้นฐาน&กราฟ' วิถีลงทุน  

เคนเนธ คัม นักเทรดเดอร์ตลาดฟอเร็กซ์ บอกว่า สำหรับ 'กลยุทธ์' การลงทุนจะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิค (กราฟ) และการใช้ 'Stop-Loss' เป็นประจำ ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นตาข่ายความปลอดภัย ก่อนมีคำสั่งก่อนเทรดผมจะตั้งโปรแกรม Stop-Loss  ไว้ก่อน ซึ่งเป็นการควบคุมหลังจากถึงเป้าหมายหรือระดับสูงสุดแล้ว เพราะว่าหลังจากนั้นราคาอาจร่วงต่ำลงได้ และคำสั่ง Stop-Loss จะช่วยตัดและป้องกันไม่ให้ขาดทุน  

โดยทั่วไปการเทรดในตลาดฟอเร็กซ์จะใช้เงินไปซื้อเงินของอีกประเทศหนึ่งตอนที่ราคาถูกแล้วขายทำกำไรเมื่อมีราคาแพงขึ้น หรือขายเงินสกุลในประเทศของตัวเองตอนที่มีราคาสูงแล้วซื้อกลับตอนที่ราคาลดลง สำหรับการเทรดปกติตลาดซื้อขาย 24 ชั่วโมงไล่ตามโซนเวลา 05.00 น. (เช้าวันจันทร์) ซึ่งตลาดออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ตื่น ซึ่งจะมาทำกราฟและวิเคราะห์ตามด้วยการวางข้อกำหนดต่างๆ 

ขณะที่ตลาดเอเชียตื่นราว 7.00-9.00 น. สิงคโปร์จะเข้ามาหลังจากตลาดในเอเชียแปซิฟิกอื่นๆ เพิ่งเปิด ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวน้อย โดยปกติตลาดจะมีความเคลื่อนไหวในช่วงเที่ยง ซึ่งยุโรปจะเข้ามาเล่นช่วง 15.00 น. และอเมริกาจะเข้ามาเล่นราว 20.00 น. ซึ่งช่วงเวลา 03.00-05.00 น. จะถือเป็นช่วงเวลาฮันนีมูน (ได้นอนหลับจริง) 

สำหรับในส่วนของการลงทุนของตัวเองนั้น เขา บอกว่า ผมตื่นตอน 08.00 น. และ 10.00 น. จะมานั่งวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยด้านเทคนิคก่อนตัดสินใจซื้อขาย โดยดูจังหวะหากตลาดพร้อมที่จะให้ 'ซื้อในราคาถูก' และ 'ขายในราคาแพง' ซึ่งผมลงทุนในตลาดยูโรดอลลาร์ โดยปกติตลาดจะเปิดราวๆ 15.00 น. ถ้าหากยังไม่พร้อมก็จะถอยออกมาก่อน ถ้าหากพร้อมผมถึงจะเข้าซื้อ เฉลี่ยการลงทุนจะเข้าซื้อขายสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเดินทางท่องเที่ยว 

'ผมพร้อมจะลงทุนหากมีการศึกษาข้อมูลแล้ว และมีจิตใจผ่อนคลาย และมีการฝึกฝนและบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ'