อีไอซีมอง 'จีดีพี' ปีนี้ โต4%
“อีไอซี” จีดีพีปี61โต4% ยังไม่ร้อนแรงมากจากฐานสูงปีก่อน ลุ้นลงทุนรัฐหนุนเอกชนลงทุนตามมาครึ่งหลังของปีโตสดใส ขณะที่กังวลหากบาทแข็งนาน กดรายได้เกษตรและส่งออกสะดุด
นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC SCB)เปิดเผยว่า ศูนย์วิเคราะห์ฯประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตที่ระดับ 4%ใกล้เคียงกับปีก่อนที่4% แต่ปัจจัยที่แตกต่างกันมาจากความเสี่ยงภายนอกประเทศที่ลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน เศรษฐกิจกลุ่มประเทศหลักเติบโตได้ดีขึ้น จึงน่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกและท่องเที่ยวของไทยต่อเนื่องทางด้านคาดการณ์ส่งออกปีนี้เติบโตได้ 5% และมีความเป็นไปได้ที่จะสูงกว่านี้ จากปีก่อนที่คาดการณ์เติบโต 10% เช่นเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตได้7.9%จากฐานสูงปีก่อน 8.7%
โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังปีนี้จะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรกขณะที่ไตรมาสแรกจีดีพีเติบโต3.9% และจีดีพีปีนี้ มีโอกาสเติบโตถึง5% หากเม็ดเงินลงทุนภาครัฐและเอกชนถูกผลักดันออกมาได้ทั้งหมด ทั้งจากการลงทุนที่จะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในปีนี้ ทั้งในส่วนของการลงทุนของภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ต่างๆและโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (ECC) ซึ่งคาดการณ์เม็ดเงินลงทุนภาครัฐปีนี้ที่ 160,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 80,000 ล้านบาท
ขณะที่ภาคเอกชนก็จะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมเช่นกัน จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงสุดในรอบ 3 ปี และการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มที่ต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก และสถาบันการเงินโดยคาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนด้านเทคโนโลยีสูงถึง 500,000 ล้านบาทต่อปี จากเดิม400,000ล้านบาท เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยคาดการณ์การลงทุนโดยรวมเติบโตได้ 4.5% เป็นการลงทุนภาครัฐเติบโต 8.7% การลงทุนภาคเอกชน เติบโต 3% จากภาพรวมการลงทุนปี 2560 ที่คาดว่าเติบโตที่ 1.6%
"เศรษฐกิจโลกดีแต่ไม่ร้อนแรงเกินไป จากปัจจัยต่างประเทศนั้นเห็นได้ชัดเจนว่ามีความเสี่ยงที่ต่ำลงมากเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ดีขึ้น แต่ไม่ร้อนแรงเกินไปไม่มีสัญญาณฟองสบู่ ทั้งในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเงินเฟ้อที่ต่ำทำให้โอกาสที่ธนาคารกลางของประเทศเหล่านั้นจะต้องใช้นโยบายที่เข้มงวดอย่างรวดเร็วมีน้อย"
นายพชรพจน์ กล่าวอีกว่า ทางด้านความเสี่ยงที่น่าห่วงนั้น กลับมาดูที่ปัจจัยในประเทศจะเห็นได้ว่า ตลาดแรงงานของไทยค่อนข้างนิ่งทั้งด้านการจ้างงานและค่าจ้างที่แรงงาน ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มประเทศขนาดใหญ่ที่สัดส่วนดังกล่าวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่แนวโน้มยังไม่ดีนัก ซึ่งทั้ง2ปัจจัยจะกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศ ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจจะยังคงมีกำลังซื้อที่แข็งแรงเพียงกลุ่มโดยในกลุ่มรายได้สูงยังคงมีกำลังซื้อสูง
ขณะที่ปัจจัยด้านการเลือกตั้งนั้นมองว่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุนไม่มากนัก เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายให้การลงทุนในโครงการต่างๆสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว หากเกิดความล่าช้าจึงไม่น่าจะกระทบมากนัก
ส่วนค่าเงินบาทในปีนี้ ศูนย์วิเคราะห์ฯ ประเมินไว้ที่ระดับ 32. 00-33.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยช่วงนี้ยังมีแนวโน้มที่แข็งค่าอยู่แต่ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกมากนัก เนื่องจากค่าเงินบาททรงตัวในระดับนี้มาระยะหนึ่งแล้วถือว่าผู้ส่งออกมีการปรับตัวไปแล้วระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามบาทแข็งค่าขึ้น มาจากการส่งออกและท่องเที่ยวขยายตัวดี รวมถึงดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลอยู่มาก มองว่าแบงก์ชาติอาจผลักดันให้คนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
แต่สิ่งที่น่ากังวล หากบาทแข็งยาวนาน ทำให้กลุ่มเกษตรยังน่าเป็นห่วง กดรายได้เกษตร จากปัจจัยราคาสินค้าเกษตร และส่งออกสะดุด เนื่องจากประเทศที่มีสินค้าเกษตรส่งออกใกล้เคียงกันไม่ได้มีค่าเงินแข็งค่าเท่าเงินบาทเมื่อเทียบดอลลาร์ อาทิ ประเทศเวียดนามแข็งค่าขึ้นเกือบ 10% และจีนแข็งค่าขึ้น 5% ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบในการแข่งขันในระยะยาว
ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น คาดการณ์ทรงตัวในระดับเดิมในปีนี้ที่1.5% ถือว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่ส่วนที่จะกระทบเป็นการไหลออกของเงินลงทุนในตลาดหุ้นหากธนาคารกลางของกลุ่มประเทศหลักๆมีนโยบายลด QE ลงเร็วกว่าเดิมหลังเศรษฐกิจดีต่อเนื่อง
“ทางด้านความเสี่ยง ยังการบริโภคมีข้อจำกัด เพราะกำลังซื้อไม่เพิ่มและมีแนวโน้มลดลงบ้างกลุ่ม ตลาดแรงงานไทยยังไม่คึกคักแม้ส่งออกฟื้นตัว และแนวโน้มในปีนี้ ราคาสินค้าถูกมองลดลงหรือไม่ขยับขึ้น การบริโภคมีเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ รายได้สูงใช้จ่ายต่อเนื่อง จากยอดขายรถหรูเติบโตต่อเนื่อง รายได้ปานกลาง ได้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษี พฤติกรรมบริโภคยุคใหม่ สมาร์ทโฟนและอีคอมเมิร์ซ”