แกะรอย‘เงินบาท’แข็ง..โจทย์ใหญ่อยู่ที่ดุลบัญชีเดินสะพัด

แกะรอย‘เงินบาท’แข็ง..โจทย์ใหญ่อยู่ที่ดุลบัญชีเดินสะพัด

เงินบาทไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา “แข็งค่า” ทุบสถิติรอบ 27 เดือน ขึ้นเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าสุดในภูมิภาค แม้เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้าไทยจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งทำให้เงินบาทแข็งค่า แต่โจทย์สำคัญอยู่ที่ “การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด” และ “การอ่อนลงของเงินดอลลาร์"

การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของ “เงินบาท” ไทยในปีนี้ โดยเฉพาะช่วงหลังที่ค่าเงินแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ทำให้ตั้งแต่ต้นปีถึง 4ส.ค.2560 เงินบาทไทยมีสถิติการแข็งค่าขึ้นแล้วราว 7.7% โดยอยู่ที่ 33.23 บาทต่อดอลลาร์ สูงเป็น “อันดับหนึ่ง” ของภูมิภาค เบียนแซงเงินดอลลาร์ไต้หวันที่แข็งค่า 7.6% และ เงินวอนเกาหลีใต้ที่แข็งค่า 7.3%

เวลาที่เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว คนส่วนใหญ่มัก “ชี้เป้า” ไปที่ “เงินทุนเคลื่อนย้าย” จากต่างประเทศ ว่าเป็นชนวนเหตุทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ..แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากกางตัวเลขออกมาเทียบแบบ “ข้อมูล” ต่อ “ข้อมูล” จะพบว่า เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้ามา “เทียบไม่ได้” กับมูลค่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รอบครึ่งปี 2560(ม.ค.-มิ.ย.) พบว่า มีเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้าประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 4,657 ล้านดอลลาร์ หรือราว 156,000 ล้านบาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.50บาทต่อดอลลาร์) แบ่งเป็น เข้าตลาดหุ้น 1,183 ล้านดอลลาร์ หรือราว 39,630 ล้านบาท และเข้าตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) 3,474 ล้านดอลลาร์ หรือราว 116,379 ล้านบาท

ตัวเลขเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้าตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทย สะสมตลอด 6 เดือนแรกปี 2560 ยัง “น้อยกว่า” ยอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนม.ค.เพียงเดือนเดียว ที่มีมูลค่าราว 5,416 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 181,436 แสนล้านบาท

ถ้าดูยอดการเกิน “ดุลบัญชีเดินสะพัด” ที่สะสมรวมกันตลอด 6 เดือนแรกของปีนี้ จะพบว่า มีมูลค่ารวมกันราว 23,522 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 787,987 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ที่ประมาณ 14% .

เรียกว่าสูงกว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้าในตลาดหุ้นและตลาดบอนด์กว่า 5 เท่า

นอกจากนี้ เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ไทยมูลค่า 4,657 ล้านดอลลาร์ ก็ยังน้อยกว่าเงินลงทุนของคนไทยที่ออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเกือบครึ่งหนึ่ง

โดยช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ นักลงทุนไทยออกไปลงทุนในต่าประเทศราว 8,813 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 295,235 ล้านบาท แม้ว่าในจำนวนนี้จะมีส่วนหนึ่งที่ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน(เฮดจิ้ง) เอาไว้ จึงไม่มีผลต่อค่าเงิน

หรือถ้าดูยอดสุทธิของ “ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย” งวด 6 เดือนแรกปี 2560 จะพบว่า มียอดไหลออกสุทธิ 13,678 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 458,213 ล้านบาท ยังคิดเป็นเพียง 58% ของยอดการเกิน “ดุลบัญชีเดินสะพัด” เท่านั้น

อีกสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น คือ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ โดยตั้งแต่ต้นปี 2560 ดัชนีค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อสถานการณ์ด้านการเมืองในสหรัฐ แต่อย่างไรก็ตามการอ่อนค่าลงของดัชนีเงินดอลลาร์ ทำให้ค่าเงินสกุลอื่นๆ ที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ มีทิศทางแข็งค่าเหมือนกันหมด

“พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ภัทร มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การอ่อนลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งถ้าดูดัชนีเงินดอลลาร์ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอ่อนค่าลงแล้วประมาณ 10% จากระดับ 103 มาอยู่ที่ 92.7 ซึ่งการอ่อนลงของเงินดอลลาร์ ทำให้เงินสกุลอื่นแข็งค่าในทิศทางเดียวกัน

ส่วนสาเหตุที่เงินบาทไทยแข็งค่าเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค ส่วนหนึ่งเกิดจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่อยู่ระดับสูง กดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งถ้าดูดัชนีค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งขัน(NEER) ต้นแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นมาประมาณ 2-3% โดยขึ้นมาจากระดับ 107.83 มาอยู่ที่ 110.89

ด้าน “อมรเทพ จาวะลา” ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย มองว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่เกินดุลในระดับสูง ทำให้ต่างชาติมองสถานะด้านต่างประเทศไทยที่แข็งแกร่ง และมองว่าโอกาสที่เงินบาทแข็งยังมีต่อเนื่อง จึงดึงดูดให้เงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศไหลเข้าในไทยด้วย

อมรเทพ มองว่า เงินที่เข้ามาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็น “เงินร้อน” และมักพักอยู่ในตราสารหนี้(บอนด์) ระยะสั้น เพื่อหวังเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการไหลเข้าของเงินทุนในรอบนี้ น่าจะเป็นเพียงระยะสั้น และในช่วงที่เหลือของปีหากมีความชัดเจนในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ที่นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยที่เร่งขึ้นในปีหน้า ก็อาจทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกไปได้เช่นกัน

“เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้ามา ไม่ได้เข้าไทยแค่ประเทศเดียว แต่เข้ามาทั้งภูมิภาค เพียงแต่ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่เกิดดุลมาก สะท้อนความมั่นคง และฐานะต่างประเทศที่แข็งแกร่ง จึงหนุนให้เงินบาทไทยแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค”

“สมประวิณ มันประเสริฐ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า นอกจากเรื่องการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ค่อนข้างสูงของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าแล้ว ในระยะนี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง รวมถึงประเทศไทยด้วย จึงเป็นอีกปัจจัยที่เร่งเร้าการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้

ด้าน “ดอน นาครทรรพ” ผู้อำนวยอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ยอมรับว่า การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ค่อนข้างสูงของไทย ทำให้เงินบาทแข็งค่าโดดเด่นกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งเดือนล่าสุด(มิ.ย.) ประเทศไทยมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราว 4,283 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 143,480 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้เงินบาทจะแข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค แต่ “ดอน” เชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถด้านการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยมากนัก เพราะเงินบาทที่แข็งค่า ถูกหักล้างด้วยเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำ ทำให้ต้นทุนของไทยถูกกว่าที่อื่น ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินแท้จริงอยู่ในระดับเดียวกับภูมิภาค จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมการส่งออกของไทยไปได้ดี แม้เงินบาทแข็ง

ดอน ยอมรับว่า แม้การส่งออกไทยไม่มีผลกระทบต่อการแข็งค่าของเงินบาทมากนัก แต่ในส่วนของผู้ประกอบการคงได้รับผลกระทบดังกล่าว เพราะกำไรเมื่อแปลงกลับมาเป็นสกุลเงินบาทได้น้อยลง ดังนั้นผู้ส่งออกจึงควรประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้

“ผู้ส่งออกบางรายไม่ประกันความเสี่ยง เพราะมองว่าเงินบาทคงไม่หลุด 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าค่าเงินจะอยู่ที่เท่าใด เพราะมุมมองตลาดต่อสถานการณ์ต่างๆเปลี่ยนแปลงเร็ว จึงไม่ควรประมาท”