จังหวะลงทุน ASCEND Capital

จังหวะลงทุน ASCEND Capital

ภารกิจหลักของ ASCEND Capital เน้นที่การลงทุนในสตาร์ทอัพที่มาสนับสนุนธุรกิจ

ASCEND Group เป็นกลุ่มธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพันธกิจหลักคือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทุกส่วน ด้วยเทคโนโลยีทางธุรกิจและบริการด้านดิจิทัล

การทำธุรกิจจะครอบคลุมทั้ง Ascend Commerce ที่มี WeMall และ WeLoveShopping เป็นตัวรุกทำตลาด E-commerce

พันธวณิช e-Commerce แบบธุรกิจสู่ธุรกิจ และเป็นผู้ให้บริการการจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กโทรนิกส์ให้กับองค์กรขนาดใหญ่ของไทย

ASCEND Money ประกอบด้วย TrueMoney ผู้ให้บริการระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึง TrueMoney Wallet และ Ascend Nano ผู้ให้บริการสินเชื่อระดับไมโครและนาไนไฟแนนซ์

Egg Digital ผู้ให้บริการด้าน Digital marketing และ Creative technology , True IDC เป็นผู้ให้บริการ Data center และ Cloud Service

นอกจากนี้ยังมี GoodChoiz เป็น e-marketplace จำหน่ายสินค้าแบรนด์ดังทั้งในและต่างประเทศ, ASCEND Travel ระบบการจัดการการเดินทางและที่พักสำหรับองค์กร

และ ASCEND Capital บริษัท venture capital ที่ลงทุนใน Tech startups ในเครือ ASCEND Group ที่เริ่มก่อตั้งมา 2 ปี กับ ภารกิจการลงทุนใน Tech startups ที่มีศักยภาพและเข้ามาสนับสนุนกิจการให้กับกลุ่มธุรกิจ

วีรชัย ชูสกุลพร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป กล่าวว่า หน่วยงานนี้ ตั้งมาประมาณ 2 ปี โดยภารกิจหลักของ ASCEND Capital เน้นที่การลงทุนในสตาร์ทอัพที่มาสนับสนุนธุรกิจ

“เราทำหน้าที่เป็น CVC ให้กับ ASCEND ในการมองหาสตาร์ทอัพที่น่าสนใจและสามารถสนับสนุนการทำงานของกลุ่ม”

ทิศทางการลงทุนและทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพจะเน้นใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ e-Commerce , e-Ppayment และ e-Logistic

ซึ่งนับระยะ 2 ปีมานี้ ASCEND Capital ลงทุนในสตาร์ทอัพในไทยแล้ว 2 ราย ได้แก่ Omese และ Send it

การทำงานร่วมกันนั้นจะมองว่าเราเป็นทั้งผู้ใช้งานเอง และนำไปใช้กับธุรกิจในกลุ่ม

รูปแบบมีทั้งเอาโซลูชั่นในฝั่งสตาร์ทอัพมาขยายต่อผ่านช่องทางของเราอีกที ตัวอย่าง Omese เป็น Payment gateway ซึ่งช่วยสนับสนุนธุรกิจของ ASCEND Group ได้

“ในกรณีของ Omeseโซลูชั่นที่สร้างขึ้นมานั้นสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจเราได้ ขณะที่ Send it บริการส่งพัสดุที่เข้ามาช่วนในงาน e-Commerce ให้ได้รับความสะดวกมากขึ้น”

ถึงวันนี้ในส่วนของ CVC เน้นทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพทั้งสองราย และยังไม่มีแผนลงทุนใหม่เพิ่มเติม โดยวีรชัย บอกแนวทางยังคงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป

ในแง่การลงทุนในส่วนของการทำงาน CVC จะมองระยะกลางถึงยาวมากกว่าการลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนระยะสั้น

“เราเป็น Strategic Investor ลงทุนไม่ได้ต้องการผลตอบแทนระยะสั้นใน 2-3 ปีเท่านั้น แต่มองถึงการเติบโตไปด้วยกันช่วง 3-5 ปีข้างหน้า หรืออาจเป็น 10 ปี

โดยผลตอบแทนที่ได้รับไม่ใช่การเงินอย่างเดียว แต่เป็นการเพิ่มช่องทางให้กับธุรกิจ และสุดท้ายมุ่งที่การเพิ่มแวลูให้กับธุรกิจที่เข้าไปลงทุน

ซึ่งปลายทางแล้ว การจะผลักดันไปให้ถึง IPO หรือไม่นั้น ยังไม่อยากให้มองถึงตรงจุดนั้น เพราะระยะยาวแล้ว การทำสตาร์ทอัพต้องเจออุปสรรคอีกมาก เส้นทางไม่ได้สวยหรู เพียงแต่เราจะใช้พลังที่มีผลักดันให้ธุรกิจเติบโตไปให้ได้ระดับหนึ่งจากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที”

ในด้านการลงทุน นอกจากจะมองถึงความเชื่อมโยงและการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาให้กับ 3 กลุ่มธุรกิจหลักแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ

“คุณภาพ” ย่อมมาก่อน “ปริมาณ”

วีรชัย ย้ำว่าที่ผ่านมา การลงทุน เรามองคุณภาพมากกว่าปริมาณ

“เราไม่ได้ลงทุนเยอะราย อีกทั้งไม่ได้มีการตั้งเป้าหมาย ว่า แต่ละปีต้องลงทุนในสตาร์ทอัพให้ได้ 5-10 ราย แต่ที่มองหลักๆ คือ การแมชชิ่ง และการแก้ปัญหาให้กับอุตสาหกรรมมากกว่า

ซึ่งแผนในปีนี้ ยังไม่มีการลงทุนรายใหม่”

สิ่งที่ให้ความสำคัญถัดมาเป็นเรื่องของทีมงาน

โดยเกณฑ์การตัดสินใจลงทุน นอกจากวัดที่ผลประกอบการเป็นอย่างไร ปัญหาและโซลูชั่นนั้นๆ สามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับตลาดได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว ทีมงานเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องให้น้ำหนัก

วีรชัย บอก เมื่อทำธุรกิจมาถึงจุดๆ หนึ่ง ตลาดเกิดเปลี่ยนแปลง ทีมงานต้องทำงานได้อย่างมีศักยภาพภายใต้การเปลี่ยนแปลงนั้น

“ผมว่า แค่ทีมคิดที่จะสู้ ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ซึ่งเราได้ให้น้ำหนักกับทีมงานบริหารเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นไปได้หนึ่งในทีมงานต้องมีคนที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมมาก่อน

ขณะที่ในภาพรวมของทีมมีความเป็นสตาร์ทอัพที่ไฟแรง สู้กับปัญหาที่เข้ามาและต้องอึด

โดยเราเน้นลงทุน Serie A ขึ้นไป เพราะต้องการให้เห็น Product /Market fit ก่อน สามารถโตมาได้ระดับหนึ่ง มีฐานการตลาด และเป็นไอเดียที่เป็นปัญหาจริง ส่วนการหาเงินลงทุนก็เพื่อต่อยอดไป B หรือระดับต่อๆไป”

สิ่งที่ส่วนงาน CVC ทำนั้น วีรชัย มองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งเป็นการเปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามา

เหมือนกับการช่วยเค้า(สตาร์ทอัพ) และช่วยเรา(ธุรกิจ) มากกว่า

โดยมองถึงคุณภาพของการงาน และ เน้นการต่อยอด เพื่อสนับสนุนให้สตาร์ทอัพเติบโตไปด้วยกัน

เติบโตไปด้วยกัน

ก่อนหน้านี้ วีรชัย ชูสกุลพร ทำงานกับ True incube มาก่อน ทำให้ได้เห็นถึงการทำงานและวิถีของสตาร์ทอัพว่าเป็นอย่างไร 

“ช่วงระยะเวลานั้น เราก็โฟกัสเรื่องปริมาณเพื่อเน้นสร้างผู้ประกอบการในระดับของ Seed funding ช่วยเรื่องการตลาดและอื่น ๆ จากนั้นผมก็มาเริ่มงานที่ ASCEND Capital ทำเรื่องกลยุทธ์ และการลงทุน”

จากการทำงานทั้งในระดับ Seed กับ Serie A ที่ ASCEND Capital ดำเนินการอยู่ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของสตาร์ทอัพในไทย

Wผมว่าที่เห็นเปลี่ยนแปลงก็คือ การทำสตาร์ทอัพไม่ได้เป็นเรื่องง่าย และสวยหรู ถ้าสตาร์ทอัพจะทำได้ต้องมีความอดทน เป็นเรื่องต้องสู้ และ มีไอเดียแปลกใหม่ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ในภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป

อีกทั้งยังต้องเปิดมุมมอง เปิดรับสิ่งใหม่ๆ และต้องสู้ไปเรื่อยๆ

แม้ 2-3 ปีนี้จะไม่ค่อยเห็นสตาร์ทอัพที่ดังจริงๆ ผมว่าให้สู้ไปเรื่อยๆ เพื่อรอรับกับโอกาสใหม่ๆ และดีมานด์ที่เปลี่ยนไป"

ที่ผ่านมา วีรชัย บอกเจอมาแล้วทั้งสตาร์ทอัพที่เพิ่งเกิดใหม่ และล้มหายไป ดังนั้นจากสถิติทีว่า 1-2 ใน 10 รายเท่านั้นที่รอด ผมว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ดังนั้น การลงทุนของ Ascend Capital จึงให้ความสำคัญกับระดับ Series A เพราะเป็นการพิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่พัฒนาขึ้นมานั้น และโมเดลธุรกิจสามารถเป็นไปได้จริง โดยที่เราจะทำหน้าที่ช่วยผลักดันให้แจ้งเกิดในตลาด