ชูกลยุทธ์ 'Profit-Sharing' เพิ่มมูลค่าองค์กร

ชูกลยุทธ์ 'Profit-Sharing' เพิ่มมูลค่าองค์กร

ชูกลยุทธ์ "Profit-Sharing" เพิ่ม "มูลค่า" องค์กร

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ณัฐนันท์ ประสงค์ชัยกุล ลูกสาวคนเดียวคือ นุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ เข้ามามีส่วนร่วมกับการบริหารองค์กรเต็มตัว ในบริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน) BKD โดยส่วนผสมใหม่ๆ ที่เธอตั้งใจจะเติมเข้าในองค์กร มีทั้งการสร้างแรงจูงใจด้วย Profit-Sharing , การพัฒนาศักยภาพบุคลากร รวมไปถึงการใช้ระบบบัญชีและสต๊อกอัตโนมัติเข้ามาควบคุมต้นทุน 

เริ่มต้นจากคนพันธุ์วาย

ณัฐนันท์ เป็นคนในเจนเนอเรชั่นวาย หรือ เจนฯ วาย (ปัจจุบันอายุ 27 ปี)  ซึ่งมีงานวิจัยต่างๆ มากมาย เก็บข้อมูลและสรุปผลว่าเป็นเจนเนอร์เนชั่นที่มีความอดทนในการเรียนรู้งานค่อนข้างน้อย เปลี่ยนงานบ่อยและเปลี่ยนความสนใจได้บ่อยเช่นกัน ซึ่ง ณัฐนันท์ ยอมรับว่า เธอมีความเป็นเจนฯ วาย คือมีความอดทนไม่มากนัก และเปลี่ยนแปลงความสนใจต่อสิ่งรอบข้างบ่อยครั้ง ซึ่งปัจจัยดังที่กล่าวมาทำให้เธอตัดสินใจ ไม่รับไม้ต่อ จากกิจการครอบครัวทันทีที่สำเร็จการศึกษา 

งานแรกที่ทำคือแอร์โฮสเตทเพราะเป็นอาชีพในฝันตั้งแต่เด็ก ชิมลางอยู่ 6 เดือนก็มีเหตุสุดวิสัย ทำให้ต้องหยุดงานแอร์โฮสเตททั้งที่ยังอยากสนุกกับงานนานกว่านี้ จากนั้นผันตัวมาเป็นดีเทลยา ด้วยเหตุผลเรื่องผลตอบแทนที่จูงใจ และไม่ต้องนั่งประจำที่ออฟฟิศ เพราะเธอไม่ชอบการทำงานที่อยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน 

จากงานทั้ง 2 อาชีพที่เธอมีประสบการณ์  ณัฐนันท์ บอกว่า ความอดทนต่อการทำงานของเธอมีมากขึ้น และทำให้เธอคิดได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะเข้ามาเรียนรู้งานและช่วยบริหารกิจการของที่บ้าน ซึ่ง การนั่งรอลูกค้าเกือบ 10 ชั่วโมง แต่ได้พูดคุยและให้ข้อมูลในเวลาหลัก 10 นาที นับเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เธอ เริ่มอยากใช้เวลาบริหารกิจการที่เป็นของตัวเอง

ประเดิมบทบาทผู้นำเสนอ

เธอเล่าเพิ่มว่า เมื่อเข้ามาช่วยงานในบางกอก เดค-คอน งานแรกที่ได้รับมอบหมายคือ ผู้ให้ข้อมูล ในงานพบนักลงทุนซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งงานแรกของเธอ คือการนำเสนอข้อมูลบริษัท โดยเป็นนำเสนอข้อมูลที่เธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจข้อมูลเท่าใดนัก จากนั้นก็ได้พัฒนาเป็นผู้ให้ข้อมูลผู้บริหารกองทุน (Fund Manager) ในการไปโรดโชว์ที่ต่างประเทศ ซึ่งแม้จะเริ่มด้วยความยังไม่ค่อยพร้อม แต่เธอก็สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี อีกทั้ง การไม่รู้ข้อมูลของบริษัทในเชิงลึก ยังทำให้ ณัฐนันท์ เริ่มอินกับบริษัทมากขึ้น 

“พอเริ่มได้รับคำถามที่เราไม่รู้ข้อมูล ก็ทำให้เรากลับมาทำการบ้านมากขึ้น จาก 2 ปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ ยังไม่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว แต่เชื่อว่าเก่งขึ้น และยังมีทักษะในหลายๆ ด้านที่จะต้องเติมเต็มให้ตัวเอง ในทิศทางเดียวกัน บางกอก เดค-คอน ก็ยังมีช่องว่างสำหรับเติมสิ่งใหม่ๆ เข้าไป ทั้งนี้ก็เพื่อมูลค่าที่จะเพิ่มขึ้น” 

บทบาทของณัฐนันท์เริ่มมีมากขึ้น จากที่เป็นผู้นำเสนอข้อมูล โดยผู้อยู่เบื้องหลังการจัดทำข้อมูลคือคุณป้า ก็พัฒนาขึ้นมาเป็นผู้จัดการทั่วไป หรือ จีเอ็ม ซึ่งทำแทบทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายงานมา โดยหลักๆ ในตอนนี้ เธอดูแลด้านไออาร์ และค่าแรงช่าง ซึ่งต้องใช้ศาสตร์ที่แตกต่างกันพอสมควร

ฉะนั้น จึงมีส่วนผสมอีกค่อนข้างมากที่ต้องเติม ทั้งเติมใส่ตัวเอง และองค์กร 

เติมเต็มองค์กร 

ในส่วนของส่วนผสมแรกที่ณัฐนันท์อยากเติมในองค์กร คือการบริหารทรัพยากรบุคคล หรือฝ่าย HR อย่างไรก็ตาม HR ในนิยามของเธอ คือ ฝ่ายงาน (หรือทีม) ที่มีความรู้ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลได้เป็นอย่างดี สามารถดึงจุดเด่นของบุคลากรมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมถึงต้องสามารถสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับบุคลากรได้ โดยปัจจุบัน บางกอก เดค-คอน มีฝ่าย HR ซึ่งมีกรอบความรับผิดชอบงานในด้านแอดมินและงานเบิกจ่ายเท่านั้น ทั้งนี้ หากสามารถสร้างทีมหรือหาทีม HR ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ ณัฐนันท์ เชื่อว่า ภาพรวมทั้งองค์กรจะมีมูลค่าเพิ่มได้มากกว่านี้ 

อาจจะดูขัดกับกระแสดิจิทัลอีโคโนมี แต่เธอยืนยันว่า นี่คือเรื่องเดียวกัน เพราะการที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความเป็นดิจิทัลได้นั้น มีบุคลากรเป็นปัจจัยที่สำคัญสุด หากขาดบุคลากรที่ขาดความรู้ความสามารถ ไม่สามารถปรับตัวรับกับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การขับเคลื่อนองค์กรย่อมทำได้ยาก

ถัดมาคือ เทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่จะช่วยควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน โดยช่วงปีก่อน ณัฐนันท์ ได้เสนอให้บริษัทนำระบบ mango มาใช้ โดยระบบดังกล่าวเป็นระบบบัญชีอัตโนมัติที่เหมาะกับองค์กรที่ดำเนินธุรกิจรับเหมา เนื่องจากตัวโปรแกรมมีฟังก์ชันของระบบบัญชี และระบบสต๊อกสินค้า ซึ่งเป็นส่วนของต้นทุนสำคัญของบริษัทรับเหมาตกแต่ง 

นอกจากนี้ณัฐนันท์ยังวางแผนให้บางกอก เดค-คอน ในอนาคต เป็นองค์กรไร้กระดาษ (Paperless) ซึ่งแม้ว่าจะช่วยประหยัดต้นทุนภายในองค์กรได้ไม่เยอะมาก และอาจจะไม่มีนัยสำคัญ แต่เธอก็ต้องการลดการใช้กระดาษภายในองค์กร ทั้งนี้ เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม และเป็นการวางกรอบความรับผิดชอบต่อสังคมให้กับองค์กร 

งัดกลยุทธ์ Profit Sharing

อีกนโยบายที่ณัฐนันท์วางแผนจะนำมาใช้ในองค์กร คือการปันส่วนกำไร โดยที่มาที่ไปของนโยบายนี้ เกิดจากการวิเคราะห์และประเมินตัวเอง จนพบว่าคนทำงานในวัยเดียวกับเธอจะมีแรงจูงใจในการทำงานเพิ่มขึ้น และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อให้คำมั่นว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังอยู่ระหว่างการเสนอผู้บริหารระดับบนของบริษัท และยังต้องศึกษาสัดส่วนของการแบ่งปันกำไรให้มีความสมเหตุสมผลกว่านี้ก่อน จึงจะนำมาปรับใช้กับบางกอก เดค-คอน 

สำหรับการเติมเต็มให้ตัวเอง คือประสบการณ์การทำงาน เพื่อให้เก๋าเกมพอที่จะคุมเก้าอี้บริหารของบางกอก เดค-คอน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโต และขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศอาเซียน อาทิ กัมพูชา