‘หุ้นกู้ระยะสั้น’ ยังเด่นแนะลงทุนตราสารจัดเรทติ้ง

‘หุ้นกู้ระยะสั้น’ ยังเด่นแนะลงทุนตราสารจัดเรทติ้ง

การลงทุนตราสารหนี้ ระยะสั้น2-3เดือน ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่อิงกับเงินเฟ้อ “หุ้นกู้เอกชน”คุณภาพดี เป็นทางเลือกการลงทุนได้

สถานการณ์ผิดนัดชำระหนี้้(Default) ในตั๋วแลกเงิน หรือ “ตั๋วบี/อี” รวมไปถึงหุ้นกู้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ “หุ้นกู้นอนเรทติ้ง” แม้จะเริ่มดีขึ้น แต่หากถามความมั่นใจของผู้ลงทุนในเวลานี้ ต้องยอมรับว่า ยังไม่กลับมาเต็ม 100%

..คำถาม คือ ช่วงเวลาแบบนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด ที่พอจะทดแทน “ตั๋วบี/อี” หรือ “หุ้นกู้นอนเรทติ้ง” ได้บ้าง แบบชนิดที่ผลตอบแทนสวย ความเสี่ยงไม่เกินพอดี

“ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์” รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย แนะนำว่า การลงทุนตราสารหนี้ ระยะสั้น2-3เดือน ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่อิงกับเงินเฟ้อ ตามแนวโน้มเงินเฟ้อที่มีโอกาสสูงขึ้นในอนาคต และแน่นอนว่า ตราสารหนี้ประเภท “ตั๋วบี/อี” และ “หุ้นกู้เอกชน” ที่คุณภาพดียังมีอยู่มาก ซึ่งก็เป็นทางเลือกในการลงทุนได้

นักลงทุนควรเลือกในตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดเรทติ้ง เพราะจะมีการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทให้ได้รับทราบ ทำให้นักลงทุนมีข้อมูลเบื้องต้นในการประเมินหรือพิจารณาความเสี่ยงก่อนการลงทุน

“โดยสถิติส่วนใหญ่แล้ว ตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดเรทติ้งจะมีความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระน้อยกว่าตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดเรทติ้ง”

สำหรับการจัดพอร์ตลงทุน “ชัชชัย”แนะนำว่า นักลงทุนควรกลับมาดูที่วัตถุประสงค์และเป้าหมายของตัวเองก่อน และถึงค่อยหาจังหวะในการซื้อ ประกอบด้วย

1. Income ซึ่งคาดว่า ตราสารหนี้เอเชียจะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าภูมิภาคอื่น เนื่องจากธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่มเติม

2. Growth จุดเด่นคือการคัดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหัวใจของการลงทุนในปีนี้ โดยเน้นประเทศที่พึ่งพิงการขยายตัวจากการบริโภคและการลงทุนภายใน และมีระดับราคาที่น่าสนใจกว่าเชิงเปรียบเทียบ

3.Opportunity เป็นการกระจายการลงทุนแบบคำนึงถึงความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ แม้ในยามที่ตลาดผันผวน

“ปัญหาผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบี/อีและหุ้นกู้ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดกับ บลจ. ขนาดเล็ก ที่วิ่งหาต้นทุนถูกเพื่อให้ผลตอบแทนสูง มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาได้ แต่เชื่อว่าปัญหาไม่ได้เป็นโดมิโนมาถึง บลจ. ในเครือแบงก์”

ด้าน “กฤษณ์ ณ สงขลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน งานลงทุนในตราสารหนี้ บลจ. กรุงไทย มองว่า ท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวน การลงทุนในตราสารหนี้ที่ผลตอบแทนมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อและดอกเบี้ยซึ่งมีแนวโน้มขาขึ้น ยังเป็นทางเลือกที่ดี ดังนั้นหากนักลงทุนที่ไม่ได้เป็นผู้ลงทุนรายย่อย(เอไอ) รวมทั้งนักลงทุนทั่วไปที่ยังรับความเสี่ยงได้ต่ำ และไม่กังวลกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 3 เดือน ยังมีความโดดเด่น

กฤษณ์ แนะนำว่า ควรลงทุนในสัดส่วนเกิน50% ของพอร์ตลงทุน โดยเลือกลงทุนตราสารหนี้ในระดับ investment grade หรือ Credit rating ตั้งแต่ระดับ BBBขึ้นไป เนื่องจากปัจจุบันตราสารหนี้คุณภาพดียังมีในระบบอีกหลายตัวและน่าสนใจ

“ตราสารหนี้ระยะสั้น อายุ 3เดือนยังให้ผลตอบแทนคาดหวังที่ระดับ 2-3% ถือว่า ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากและผลตอบแทนตราสารหนี้รัฐบาล อีกทั้งตราสารเหล่านี้ได้ขึ้นทะเบียนกับสมาคมตราสารหนี้ฯ มีข้อมูลให้ผู้ลงทุนติดตามได้ตลอดเวลา”

นอกจากนี้ กรณีการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ระยะสั้นในช่วงที่ผ่านมา เกิดกับตราสารหนี้ระยะสั้น ไม่มีเรทติ้งและการผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนั้น มองว่า มีผลกระทบในวงจำกัดมากๆ เมื่อสื่อสารให้ผู้ลงทุนเข้าใจ ก็ไม่ได้เกิดการตื่นตระหนก และในส่วนของบริษัทเป็นกองทุนตราสารหนี้ ระดับเรตติ้ง BBBขึ้นไป และไม่มีกองทุนประเภท AI เพราะลูกค้าเป้าหมายของบริษัท ยังไม่ชอบความเสี่ยงมาก ดังนั้นบริษัทยังเห็นแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ากองทุนตราสารหนี้ต่อเนื่อง มีสภาพคล่องสูง ปัจจุบันกองทุนตราสารหนี้มีมูลค่าประมาณ200,000ล้านบาท

อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่า การลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นในปีนี้ ผู้ลงทุนควรวิเคราะห์สถานะของผู้ออกตราสารนั้นๆ ในเชิงลึก และไล่ดูสถานะของแต่ละธุรกิจ ส่วนจะเลือกลงทุนธุรกิจใดนั้นก็ขึ้นกับความชื่นชอบส่วนตัว ความใกล้ชิด ข้อมูล และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ควรเลือกลงทุนในความเสี่ยงที่รับได้ มากกว่า แสวงหาผลตอบแทนสูง ที่ย่อมมาพร้อมความเสี่ยงสูง และอาจแถมความผิดปกติทำให้สูญเงินลงทุน ก็เป็นได้

“ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส บอกว่า ปัญหาตั๋วบี/อีที่ผิดนัดชำระหนี้ในช่วงที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบกับนักลงทุนบ้าง ซึ่งเรามองว่านักลงทุนอาจจะเลือกลงทุนในหุ้นกู้ที่มีระยะยาวมากขึ้นหรือหุ้นกู้ที่มีเรทติ้ง เพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุน

ทั้งนี้บลจ.มองว่าหากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนดังกล่าวอาจเลือกนำเงินบางส่วนมาลงทุนในกองทุนรวมหุ้น แม้จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนเช่นกัน ซึ่งมองว่าทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง