AI Personal Doctor โอกาส&ความท้าทาย ในกระแส 'ผู้สูงวัย'

ถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นไอเดียอยู่สำหรับแอพ “AI Personal Doctor” ที่ใช้ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
ทำหน้าที่ติดตาม ดูแล ตรวจเช็ค วิเคราะห์ เหมาะสำหรับดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้นที่บ้าน และผู้มีปัญหาเรื่องสุขภาพทั่วๆไป
AI Personal Doctor เป็นแอพที่เข้าแข่งในโครงการ “The Angel Biz Challenge” ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) , ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย , มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ตลอดจนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้รับรางวัลถึง 2 รางวัลจากโครงการ ได้แก่ รางวัลโนมูระ นิวเวนเจอร์ กับเองเจิ้ล 99 เซกัน พิช ซึ่งเป็นรางวัลการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมครบถ้วนภายในเวลา 99 วินาที
แม้ผ่านการพิสูจน์และได้รับความยอมรับถึงขั้นนี้ แต่ “ปัณณวิชย์ ภพธณาพรรณกร” (หนึ่ง) ผู้ก่อตั้ง ก็ยอมรับว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเขาพบว่า สตาร์ทอัพเกี่ยวกับสุขภาพอาจทำได้ยากถึงยากที่สุด มีอุปสรรคมากมาย มีข้อติดขัดเต็มไปหมด ซึ่งต้องพยายามหาช่องทางให้เจอ ต้องอาศัยคนหรือองค์กรที่มองถึงประโยชน์ภาพรวมเป็นหลัก
ซึ่งต้องบอกว่า เขาเคยคิดจะยกธงขาว ล้มเลิกความคิดหลายต่อหลายครั้ง แต่ตอนนี้กลับเริ่มเห็นความหวัง “เมื่อก่อนไฟมันอาจจะติดๆดับๆ แต่เวลานี้ก็พอเห็นไฟที่ปลายอุโมงค์แล้ว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เข้าโครงการ “The Angel Biz Challenge” ที่ช่วยทำให้เขาได้ “ตั้งหลัก”
"จริงๆแล้ว ผมอยากแชร์ให้คนอื่นรู้ว่า เรามีความคิดแบบนี้ ถ้าใครมองว่าดีและอยากเอาไปทำก็ได้เลย ผมอยากให้มันเกิดขึ้นจริงๆ เพราะจะได้ช่วยเหลือคน ผมเคยไปคุยกับบริษัทหนึ่ง เขาบอกว่าทุกอย่างมันดี มันโอเคหมดเลย แต่โปรเจ็คมันยากไปและอยากให้ผมเอาไปคิดทำต่อ ซึ่งตอนที่ส่งประกวดในโครงการนี้ ตอนแรกผมก็ไม่คิดจะส่งจนวันที่หมดเขต ก็คิดว่าลองโยนความคิดไปอีกทีเผื่อจะผ่าน ที่สุดก็ผ่านและได้เข้ารอบที่ลึกขึ้นๆ"
และโครงการก็ได้จัดคอร์สอบรม รวมถึงมีโค้ชที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาช่วยให้คำปรึกษา มาช่วยสอนให้เขากรองความคิด ทำให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ไอเดียดั้งเดิมของหนึ่ง มุ่งตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่เป็นคนระดับล่างเป็นหลัก กลายเป็นว่ามันไม่มีทางจะตอบโจทย์บิสิเนสโมเดล เป็นอะไรที่ไม่มีทางสร้างรายได้ ซึ่งเขาได้รับคอมเมนท์ในเรื่องนี้มาโดยตลอด และมีการปรับแนวคิดมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำลังจะปรับชื่อแอพจาก AI Personal Doctor ที่อาจยาวเรียกยากเป็น “Doctor@home” ด้วย
หลักๆ แล้วการทำงานของแอพดังกล่าวก็คือ ตัวโปรแกรมจะสามารถลิงค์กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมแสดงค่าต่างๆ เช่น ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ อุณหภูมิร่างกาย พร้อมแบบประเมินลักษณะอาการและร่างกายของคนป่วย ว่าเป็นมาแล้วกี่วัน มีลักษณะอะไรผิดปกติ เช่น คอเจ็บ มือเท้าปวม ฯลฯ
"เราจะพัฒนาต่อ โดยใช้อาม่าคอนเซ็ปต์ ทำให้ผู้สูงอายุไม่กลัวที่จะใช้ มีตัวหนังสืออ่านให้น้อยแต่เข้าใจได้ทันที ใช้งานง่ายแค่กรอกข้อมูลใส่ ที่เหลือเครื่องมือจะทำงานเองและวิเคราะห์ว่า อาการเป็นอย่างไร โปรแกรมจะวิเคราะห์ให้ดูได้ง่ายๆ พร้อมกับจะมีระบบเตือนให้ทานยา ลูกหลายช่วยตั้งวันเวลาให้มันอะเลิดบอก พวกค่าทั้งหมดนี้ไม่ว่าผลตรวจรายวัน รายเดือน รายปี หรือการกินยา ลูกหลานจะสามารถตรวจเช็คได้ทางมือถือได้หมด"
หนึ่งบอกว่า แอพของเขาจะช่วยผู้สูงอายุตลอดจนผู้ดูแลได้เรียนรู้การดูแลรักษาสุขภาพไปพร้อมๆกับแอพ ว่าถ้าอาการเป็นอย่างนี้ต้องระวังอย่างไร เนื่องจากผู้สูงวัยมักจะมีโรคประจำตัวและมีอาการคล้ายเดิมๆซ้ำๆ ซึ่งสามารถใช้แอพช่วยสังเกตุให้ได้ พร้อมกับคำแนะนำอย่างเป็นสเต็ปว่า ควรจะเช็คอะไรก่อน ต้องดูแลอย่างไร และถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ต้องไปพบแพทย์ นอกจากนี้ สำหรับปัญหาใหญ่ของผู้สูงวัยนั่นคือ “การล้ม” แอพนี้ก็จะมีปุ่มกดเรียกหาความช่วยเหลือจากผู้ดูแล ลูกหลาน ตลอดจนโรงพยาบาลได้ในทันที
"แรกๆเรามุ่งเรื่องการดูแลรักษา แต่ภายหลังแอพจะช่วยสร้างความตระหนักรับรู้ในการดูแลสุขภาพของตัวเอง พอเกิดอาการแบบนี้ต้องทำอย่างไร ดูแลตัวเองได้ ผู้สูงอายุมักเป็นหลายโรคแต่พอได้เรียนรู้กับแอพที่สุดจะแยกแยะ เรียนรู้ และดูแลตัวเองได้ ที่สุดเขาก็ไปไหนต่อไหนหรือทำอะไรได้อย่างมั่นใจขึ้น "
ในเบื้องต้นแอพจะโฟกัสกลุ่มผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน, ความดัน, โรคหัวใจ และนอนติดเตียงก่อน เพราะการจำกัดขอบเขตจะสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่กว้างจนเกินไปและนำไปสู่การทำได้จริงๆ จากนั้นจะมีการพัฒนาฟังก์ชั่นที่ครอบคลุมและลงลึกไปเรื่อยๆ
เมื่อถามถึงมุมมองความเป็นไปได้ทางการตลาด ในฐานะนักศึกษาที่เรียนจบทางด้านบริหารธุรกิจทั้งปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และต่อปริญญาโทด้านเดียวกันที่มหาวิทยาลัยเอแบค หนึ่งมองว่า ในเรื่องขนาดของตลาดแล้วเห็นได้ชัดว่ามันเติบโตขึ้นทุกปี
"เพราะคนแก่ลงทุกปี ปัญหาก็เพิ่มขึ้นทุกปี สิ่งที่ผมเห็นก็คือ ความพร้อมไม่มีเลย มันจะพร้อมสำหรับคนมีเงินเท่านั้น แต่ความไม่พร้อมก็เป็นโอกาสของเราที่จะเข้าไปเติมเต็ม ด้วยความตั้งใจจะสร้างคุณภาพชีวิต สร้างความหวัง กำลังใจให้คนและครอบครัว"
ส่วนในแง่ของรายได้นั้น ที่เขาคิดไว้ก่อนหน้าจะมาจากการสมัครเป็นสมาชิกในการดาวน์โหลดแอพไปใช้ของผู้สูงอายุและผู้ดูแล แต่พอทำไปทำมาเขาได้พบว่าธุรกิจจะเกิดขึ้นได้จริง จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีถึง 4 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ ผู้สูงวัย คนในครอบครัว กลุ่มแพทย์และโรงพยาบาล รวมถึงทีมผู้พัฒนาแอพ
"มีคนบอกว่า แนวคิดนี้มีคนพูดมาเป็นสิบๆปีแล้ว ที่มันไม่เกิดเพราะผลประโยชน์มันไม่ลงตัว แต่ตอนนี้เราได้ออกแบบให้มีหมอมาช่วยมอนิเตอร์ค่าที่ผู้สูงวัยได้วัดและส่งมาให้ดูทุกวัน และฟีดแบ็คกลับไปซึ่งก็จะมีค่าบริการทางการแพทย์ให้กับหมอให้กับโรงพยาบาล และเราเองก็ได้คอมมิชชั่นจากการรักษาในแต่ละครั้ง ตอนนี้ถือว่าโมเดลธุรกิจของเรามีผลประโยชน์ที่ค่อนข้างลงตัวแล้ว แต่ก็ต้องคุยอีกทีว่าแต่ละฝ่ายจะเห็นว่าอย่างไร"
ทั้งหมดทั้งมวล เขามองว่าในแง่ของโรงพบาบาลภาครัฐจะได้รับผลประโยชน์จากแอพเป็นอย่างมาก เพราะช่วยลดภาระของหมอ ทำให้มีเวลาไปรักษาคนไข้ที่เป็นโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น ส่วนโรงพยาบาลเอกชนหากผูกแอพเข้าไว้ในระบบก็เป็นเหมือนสิทธิพิเศษที่ผู้ป่วยจะได้รับ คือมีหมอคอยดูแลเช็คอาการทุกวัน ซึ่งจะสามารถสร้างความภักดีให้กับโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี
“เท่าที่ผมได้ไปคุยทางโรงพยาบาลเขาก็ชอบ เพราะไม่ต้องมีภาระอะไรทางเราจะทำหน้าที่จัดการระบบให้ทั้งหมด ผมมองว่ามันจะเป็นไปได้ถ้าทุกฝ่ายเปิดใจ”
และยังมีอีกหนึ่งเป้าหมายที่อาจยังอยู่ไกลสำหรับเขาก็คือ การสร้างเครื่องมือที่คล้ายกันไปช่วยผู้คนและผู้สูงวัยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
“ไม่ว่าจะยากดีมีจน คนต้องได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง อย่างเท่าเทียมกัน”
เพื่อชีวิตที่มีความหวัง
หนึ่งบอกว่าแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาคิดค้นแอพดูแลผู้สูงวัยนั้น มาจากตัวเขาเองที่เริ่มมีอายุมากขึ้น รวมถึงการได้พบเห็นชีวิตของเพื่อนพ้องหลายต่อหลายคนที่ประสบปัญหาเพราะการป่วยเจ็บของพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่
"ที่ผมได้ไปเจอมา ก็เห็นแต่ปัญหา ข้อแรกเลยเริ่มจากลูกหลานดูแลอาการเจ็บป่วยไม่เป็น เป็นการลองผิดลองถูกค่อนข้างเยอะ แทนที่จะทำให้อาการมันดีขึ้นก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายเลยทำให้ทุกคนในครอบครัวเกิดความเครียด มีความกดดัน"
มิหนำซ้ำ เพื่อนบางคนที่กำลังรุ่ง ไปได้สวยในหน้าที่การงานเพราะเป็นคนเก่ง เป็นคนดี ต้องลาออกจากงานเพื่อมาคอยดูพ่อแม่ที่สูงวัยและเจ็บป่วย
"ถ้ามีผู้สูงอายุล้านคนก็ต้องมีลูกหลานอีกล้านคนมาอยู่เป็นเพื่อน รวมแล้วก็เป็นสองล้านคน กลายเป็นว่าคนทั้งสองกลุ่มต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับความกังวล กับปัญหา กับสุขภาพที่รุมเร้า มันเป็นอะไรที่ไม่มีความหวัง ผมเลยเริ่มคิดถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่จะมาช่วยทำให้ผู้คนใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ มีความหวัง โดยที่ค่าใช้จ่ายต้องถูก และต้องเข้าถึงทุกบ้านให้มากที่สุด"
และพ่อแม่เองก็ไม่ต้องรู้สึกผิดที่ลูกหลานต้องหมดอนาคตเพราะลาออกจากงาน เพราะแอพจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ลูกสามารถดูแลพ่อแม่ได้แม้ว่ายังทำงานและอยู่ห่างไกลโดยไม่ต้องกังวล ช่วยตอบคำถามโลกแตกที่ว่า แล้วใครจะคอยดูพ่อแม่ หรือแล้วถ้าพ่อแม่ตายไปแล้วใครจะดูแลลูกที่ว่างงาน ได้ในระดับหนึ่ง







