ความสำคัญของลวดลายบนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชกาลที่ 9 (2)

ความสำคัญของลวดลายบนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชกาลที่ 9 (2)

ศาสนสถานแต่ละแห่งมีประวัติความเป็นมา สถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย และเป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและต่างประเทศ

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรพระมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้จัดทำขึ้นมาทั้งสิ้น 9 เหรียญ ประกอบด้วย เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 10 บาท ชนิดราคา 5 บาท ชนิดราคา 2 บาท ชนิดราคา 1 บาท ชนิดราคา 50 สตางค์ ชนิดราคา 25 สตางค์ ชนิดราคา 10 สตางค์ ชนิดราคา 5 สตางค์ และชนิดราคา 1 สตางค์ ซึ่งแต่ละเหรียญ จะมีลวดลายที่แสดงถึงสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งแต่ละเหรียญจะมีจุดแตกต่างกันโดยเฉพาะลวดลายศาสนสถานของไทยด้านหลังของเหรียญ 

ส่วนวันนี้ (28พ.ย.) เป็นตอนที่ 2 จะนำเสนอเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท ชนิดราคา 50 สตางค์ และชนิดราคา 25 สตางค์

ทั้งนี้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรพระมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านหน้าเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน บริเวณกลางเหรียญ มีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรพระมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ฉลองพระองค์ครุย ผินพระพักตร์ทางเบื้องขวา ภายในวงขอบเหรียญด้านขวามีข้อความว่า “ภูมิพลอดุลยเดช” ด้านขอบซ้ายของเหรียญมีข้อความว่า “รัชกาลที่ 9” ในทุกชนิดราคา เป็นการแสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย 

ส่วนด้านหลังของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนเป็นรูปศาสนสถานต่างๆ ที่มีความสำคัญของประเทศไทย เพื่อแสดงถึงสถาบันศาสนา นอกจากนี้ภายในวงเหรียญด้านบน มีคำว่า “ประเทศไทย” เพื่อแสดงถึงสถาบันของชาติ

ลวดลายศาสนสถานของไทยของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชกาลที่ 9

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนทุกชนิดราคา ได้นำภาพของศาสนสถานที่สำคัญในประเทศไทย มาเป็นลวดลายด้านหลังของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ซึ่งศาสนสถานแต่ละแห่งมีประวัติความเป็นมา สถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย และเป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยลวดลายศาสนสถานด้านหลังเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนต่างๆ มีดังนี้

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 1 บาท

ด้านหลังเป็นภาพพระศรีรัตนเจดีย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2325 พร้อมกับการสร้างพระบรมมหาราชวังและกรุงรัตนโกสินทร์ สืบตามราชประเพณีการสร้างพระอารามในพระราชฐานสมัยกรุงศรีอยุธยา และทรงมีพระราชประสงค์ให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร โดยรัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามพร้อมๆ กับการสร้างพระราชมณเฑียรและป้อมปราการในพระบรมมหาราชวัง 

ทั้งนี้ การสร้างสิ่งก่อสร้างในพระบรมมหาราชวังระยะแรกสร้างด้วยไม้ ยกเว้นการสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามที่เป็นแบบการก่ออิฐถือปูน ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2327 วัดพระศรีรัตนศาสดารามประกอบด้วย พระอุโบสถ พระระเบียงรอบวัดหอมณเฑียรธรรม หอระฆัง ศาลาราย จำนวน 12 หลัง 

นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์ทอง เรียกว่า พระศรีรัตนเจดีย์ ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา มีรอบฐานเจดีย์ ยาว ๕๕.๕๕ เมตร เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับมาจากลังกา โดยจำลองจากเจดีย์ตามแบบพระมหาสถูปเจดีย์ในวัดพระศรีสรรเพชญ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา เนื่องจากเป็นวัดที่สร้างขึ้นในพระบรมมหาราชวัง 

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 50 สตางค์ 

ด้านหลังเป็นภาพพระเจดีย์พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ชาวบ้านเรียกว่า วัดดอยสุเทพ หรือ วัดดอย ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า ก่อนปี พ.ศ.1929 พระเจ้ากือนามหาราช เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ได้สร้างพระเจดีย์ มีความสูง 10 เมตร อยู่บนดอยสุเทพ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ต่อมาในสมัยพระเมืองเกษเกล้าเจ้านครเมืองเชียงใหม่ โดยในพ.ศ. 2068 ได้ก่อสร้างพระเจดีย์เพิ่มเติมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น คือ มีฐานกว้าง 12 เมตร สูง 22 เมตร 

ต่อมาในพ.ศ.2088 สมัยท้าวชายคำพระราชโอรสพระเมืองเกษเกล้า ได้สร้างวิหารด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมระเบียงรอบ พระเจดีย์ 4 ด้าน และเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง แต่ยังไม่มีฐานะเป็นวัด เป็นเพียงปูชนียสถาน 

ต่อมา พ.ศ.2494 ได้มีการสร้างพระอุโบสถขึ้น จึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นวัดในเวลาต่อมา และพ.ศ.2504 รัฐบาลได้สร้างพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์บนยอดเขาตำบลสุเทพ ทำให้วัดพระธาตุดอยสุเทพได้รับการปฏิสังขรณ์และก่อสร้างเพิ่มเติม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นโท ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2505 เป็นต้นมา ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองและเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 25 สตางค์

ด้านหลังเป็นสัญลักษณ์ของวัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช จากตำนานเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวว่า พระบรมธาตุเจดีย์สร้างโดยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชในปี 1098 เพื่อเป็นที่ประดิษฐานองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งสร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกับการสร้างอาณาจักรศรีวิชัย โดยลักษณะของพระบรมธาตุเจดีย์เป็นรูปทรงระฆังค่ำ ปากระฆังติดกับพื้นกำแพงแก้ว มีความสูงจากพื้นถึงยอดสูง 154 เมตร ฐานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตร ยอดหุ้มด้วยทองคำหนัก 800 ชั่ง มีปล้องไฉน 52 ปล้อง

เดิมวัดแห่งนี้ไม่มีภิกษุจำพรรษา เนื่องจากเป็นเขตพุทธาวาส ต่อมาในสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำทองแดงหล่อปิดทองยอดพระบรมธาตุ และสร้างพระระเบียงโดยรอบทั้งหมด 165 ห้อง พระพุทธรูป 165 องค์ และสร้างกำแพง 4 ด้าน 

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ระหว่างปี 2437-2441 โดยพระครูเทพมุนีศรีสุวรรณถูปฎมาภิบาล (ปาน) และได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์อีกหลายครั้งในเวลาถัดมา ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราช ทรงมีพระราชดำริเห็นสมควรให้พระสงฆ์มาดูแลวัดมหาธาตุ จึงรับสั่งให้สมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมธร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ ให้นิมนต์พระครูวินัยธร (นุ่น) มาปกครองวัด เพื่อให้พระภิกษุอยู่จำพรรษา วัดมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวนครศรีธรรมราช และเป็นศาสนสถานที่สำคัญสำหรับสักการะและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวภาคใต้