ความสำคัญของลวดลายบนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชกาลที่9(1)

ความสำคัญของลวดลายบนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชกาลที่9(1)

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรพระมหาภูมิพลอดุลยเดช มีลวดลายที่แสดงถึงสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรพระมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้จัดทำขึ้นมาทั้งสิ้น 9 เหรียญ ประกอบด้วย เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 10 บาท ชนิดราคา 5 บาท ชนิดราคา 2 บาท ชนิดราคา 1 บาท ชนิดราคา 50 สตางค์ ชนิดราคา 25 สตางค์ ชนิดราคา 10 สตางค์ ชนิดราคา 5 สตางค์ และชนิดราคา 1 สตางค์ ซึ่งแต่ละเหรียญ จะมีลวดลายที่แสดงถึงสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งแต่ละเหรียญจะมีจุดแตกต่างกันโดยเฉพาะลวดลายศาสนสถานของไทยด้านหลังของเหรียญ

ดังนั้น จริญญา บุญอมรวิทย์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการ ฝ่ายพิพิธภัณฑ์เหรียญ สำนักทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน กรมธนารักษ์ จึงได้ทำการเรียบเรียง และให้ความรู้เกี่ยวกับ “ความสำคัญลวดลายบนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชกาลที่ 9” ผ่านเว็บไซด์http://emuseum.treasury.go.th/article/833-30-09-2016-2.html ของกรมธนารักษ์ ซึ่งในวันนี้ (27พ.ย.)จะนำเสนอเป็นตอนแรก จากทั้งหมด 3 ตอน โดยตอนแรกจะบอกเล่าถึงลวดลายศาสนสถานของเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 10 บาท ชนิดราคา 5 บาท และชนิดราคา 2 บาท

ทั้งนี้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรพระมหาภูมิพลอดุลยเดช มีลวดลายที่แสดงถึงสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยด้านหน้าเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน บริเวณกลางเหรียญมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรพระมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ฉลองพระองค์ครุย ผินพระพักตร์ทางเบื้องขวา ภายในวงขอบเหรียญด้านขวามีข้อความว่า “ภูมิพลอดุลยเดช” ด้านขอบซ้ายของเหรียญมีข้อความว่า “รัชกาลที่9” ในทุกชนิดราคา เป็นการแสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย

ส่วนด้านหลังของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนเป็นรูปศาสนสถานต่างๆ ที่มีความสำคัญของประเทศไทย เพื่อแสดงถึงสถาบันศาสนา นอกจากนี้ภายในวงเหรียญด้านบน มีคำว่า “ประเทศไทย” เพื่อแสดงถึงสถาบันของชาติ

ลวดลายศาสนสถานของไทยของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชกาลที่9

ทั้งนี้ เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนทุกชนิดราคาได้นำภาพของศาสนสถานที่สำคัญในประเทศไทย มาเป็นลวดลายด้านหลังของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ซึ่งศาสนสถานแต่ละแห่งมีประวัติความเป็นมา สถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย และเป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยลวดลายศาสนสถานด้านหลังเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนต่างๆ มีดังนี้

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 10 บาท

ด้านหลังของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดนี้ เป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก เป็นวัดประจำรัชกาลที่2พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 วัดอรุณราชวราราม ได้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ “วัดมะกอก”

ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เสด็จพร้อมด้วยไพร่พลโดยทางชลมารค และถึงหน้าวัดแห่งนี้เมื่อยามใกล้รุ่ง จึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับแรมที่ศาลาการเปรียญของวัด เมื่อพระองค์ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็น “วัดแจ้ง” ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังใหม่ข้างวัดแจ้ง ทำให้วัดแจ้งกลายเป็นวัดในพระราชวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา

ในสมัยรัชกาลที่1พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระนครใหม่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา วัดแจ้งจึงกลายเป็นวัดนอกพระราชวังและให้มีพระสงฆ์จำพรรษาได้ ในสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอุโบสถ พระวิหารต่อจนสำเร็จ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” และที่สำคัญทรงให้ก่อเสริมพระปรางค์ เพื่อให้เป็นพระมหาธาตุเจดีย์ประจำกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ทำได้เพียงขุดฐานรากไว้ พระองค์เสด็จสวรรคตก่อน 

ต่อมาช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระปรางค์ตามแบบที่รัชกาลที่ 2 ทรงมีพระราชดำริขึ้นจนสำเร็จ เรียกกันว่า “พระปรางค์วัดอรุณ” มีความสูง 66.7754 เมตร ล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศและมณฑปทิศ องค์ปรางค์ก่อด้วยอิฐถือปูนประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่างๆ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างและปฏิสังขรณ์เพิ่มเติม เช่น บุษบก ยอดพระปรางค์ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม” จะเห็นได้ว่าพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามมีความสวยงาม และโดดเด่นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งเวลากลางวันและกลางคืน

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 5 บาท

ด้านหลังของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดนี้ เป็นภาพพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ซึ่งเป็นวัดประจำของรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสันนิษฐานว่าเป็นวัดสร้างมาก่อนตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ชื่อวัดแหลมหรือวัดไทรทอง (มีต้นไทรทองอยู่ภายในวัด) ต่อมาในรัชกาลที่ 2 ได้เกิดกบฎเจ้าอนุวงศ์ แห่งนครเวียงจันทน์ คิดจะตั้งตัวเป็นอิสระ ซึ่งแม่ทัพของไทยที่เป็นผู้รักษาพระนครในขณะนั้นคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 ทรงตั้งกองบัญชาการรบอยู่ที่วัดแห่งนี้ โดยกองทัพของเจ้าอนุวงศ์ได้พ่ายแพ้ก่อนที่จะยกกองทัพมาถึงพระนคร ทำให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ มีความศรัทธาและได้ปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ 

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ใหม่ว่า “วัดเบญจมบพิตร” และในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริที่จะขยายพระนคร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชฐานที่ประทับแห่งใหม่ คือ พระราชวังดุสิต (บริเวณพระที่นั่งอัมพรสถาน พระที่นั่งวิมานเมฆ พระที่นั่งอภิเษกดุสิต เป็นต้น) โดยบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ของวัดร้าง 2 แห่ง คือ วัดดุสิตและวัดปากคลอง ซึ่งตามประเพณีเดิมจะต้องสร้างวัดขึ้นทดแทน แต่พระองค์ทรงเลือกสถาปนาวัดเบญจมบพิตรแทน และมีพระราชดำริที่จะสถาปนาขึ้นเป็นวัดใหญ่ 

โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างวัดเบญจมบพิตร โดยออกแบบให้พระอุโบสถของวัดประดับด้วยหินอ่อนจากอิตาลีทั้งหลัง เป็นอาคารทรงจตุรมุข มีมุขเด็จยื่นออกมาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หลังคาซ้อนกัน 5 ชั้น ภายในพระอุโบสถได้ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง ซึ่งพระองค์ทรงเติมสร้อยของพระนามวัดเป็น “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม”

เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 2 บาท

ในปี พ.ศ.2548 กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กรมธนารักษ์ออกใช้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ชนิดราคา 2 บาท เพิ่มขึ้นอีก 1 ชนิดราคา ด้านหลังของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 2 บาท เป็นภาพของพระบรมบรรบต วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร 

สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่า “วัดสะแก” ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองรอบเมือง คลองหลอด และคลองมหานาค ซึ่งอยู่เหนือวัดสะแก และพระราชทานเปลี่ยนนามวัดใหม่ว่า “วัดสระเกศ” และเริ่มก่อสร้างพระเจดีย์ของวัดสระเกศในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยพระราชทานนามว่า “พระเจดีย์ภูเขาทอง” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) เป็นแม่กองในการก่อสร้างพระเจดีย์ภูเขาทอง แต่การก่อสร้างครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่ลุ่มดินอ่อน ทำให้ทานน้ำหนักพระเจดีย์ไม่ไหวและทรุดพังลงมา จึงได้หยุดการก่อสร้างพระเจดีย์ภูเขาทอง 

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) เป็นแม่กองสร้างพระเจดีย์ภูเขาทองที่ค้างอยู่ และทรงวางศิลาฤกษ์พระเจดีย์ภูเขาทองเมื่อเดือน 6 ปีฉลู พ.ศ. 2408 โดยพระราชทานนามใหม่ว่า “บรมบรรบต” ซึ่งได้ดำเนินกร้างต่อเนื่องมาจนสำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 5 พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนน ถมคลองหน้าวัด และทำสะพานข้ามคลอง เพื่อให้มีความสะดวกต่อการเข้าชมบรมบรรพต หรือ “ภูเขาทอง” เนื่องด้วยสร้างเป็นรูปภูเขา มีลักษณะเป็นเจดีย์อยู่บนยอด ฐานของบรมบรรพตวัดได้ 330 เมตร ส่วนสูง 79 เมตร มีบันไดเวียนเป็นทางขึ้น 2 ทาง