‘ไทยนิปปอนรับเบอร์’ เร่งพิ่มสัดส่วนรายได้ ‘แบรนด์’

‘ไทยนิปปอนรับเบอร์’ เร่งพิ่มสัดส่วนรายได้ ‘แบรนด์’

"ไทยนิปปอนรับเบอร์" เข้าตลาดยกระดับองค์กร-เพิ่มเครื่องมือทางการเงิน ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าแบรนด์แตะ35% ภายในปี63

บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) TNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ ธุรกิจหลักคือการรับจ้างผลิตถุงยางอนามัย และเจลหล่อลื่น (OEM) ให้กับแบรนด์อื่นๆ ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งน่าจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้างในยี่ห้อ วันทัช’ (OnetouchTM)

ที่ผ่านมา โครงสร้างรายได้ของไทยนิปปอนรับเบอร์ ประมาณ 77.9% มาจากการรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์อื่นๆ และอีก 14.2% มาจากการรับจ้างผลิตให้กับโครงการอื่นๆ ผ่านการเข้าประมูลงาน ส่วนรายได้จากแบรนด์วันทัชนั้นยังอยู่ที่เพียง 7.8% เท่านั้น

อมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะระดมทุนผ่านการขายหุ้นไอพีโอ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยล่าสุด ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ภายในปีนี้

การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทไม่ได้มีแผนที่จะลงทุนใหม่ในขณะนี้ แต่สิ่งสำคัญที่คาดว่าจะได้รับจากการแปลงมาเป็นบริษัทมหาชนคือ โอกาสในการเข้าหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้นในอนาคต และการบริหารงานที่มีมาตรฐานสากล รวมทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือและเป็นที่รับรู้ในวงกว้าง

ในระยะยาวบริษัทคาดหวังที่จะขึ้นไปเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในโลก จากที่เป็นอันดับ 2 โดยมีกำลังการผลิตเกือบ 2,000 ล้านชิ้นต่อปี ส่วนเบอร์หนึ่งนั้นมีกำลังการผลิตราว 3,000-4,000 ล้านชิ้นต่อปี”

แม้บริษัทจะต้องลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีกเกือบเท่าตัวเพื่อเป้าหมายดังกล่าว แต่ในขั้นต้นบริษัทจะมุ่งเพิ่มยอดขาย เพื่อใช้กำลังการผลิตให้เต็มเสียก่อน เพราะปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตเพียง 60% ซึ่งในปีหน้าคาดว่าจะขยับขึ้นไปถึง 80-90% จากการเร่งขยายตลาดใหม่

เป้าหมายสำคัญของบริษัทอย่างหนึ่งคือการมุ่งเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัทอย่าง วันทัช โดยในปี 2563 คาดว่าสัดส่วนรายได้ของวันทัชจะขยับขึ้นไปถึง 35% จากเพียง 7.8% ในปัจจุบัน โดยรายได้กว่า 90% มาจากต่างประเทศ

แม้แบรนด์วันทัชจะเกิดขึ้นมากว่า 10 ปีแล้ว แต่ที่ผ่านมาแบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก และยังไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจน แต่ปัจจุบันบริษัทสามารถพัฒนาถุงยางอนามัยของบริษัทให้มีความบางมากที่สุดเพียง 0.03 มิลลิเมตร ซึ่งบริษัทจะใช้จุดแข็งนี้ในการเปิดตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียซึ่งเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทขายเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่หลังจากนี้บริษัทจะเจาะตลาดใหม่ๆ โดยเริ่มจากประเทศในอาเซียนก่อน

“การมุ่งขยายแบรนด์ของบริษัทนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทแล้ว สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคืออัตรากำไรที่สูงกว่าการรับจ้างผลิตราว 5-10% ซึ่งจะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 29% และ 16.9% ตามลำดับ”

ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมถุงยางอนามัยเติบโตราว 9% ต่อปี แต่บริษัทสามารถเติบโตเฉลี่ยเกิน 10% เป็นผลการมีกำลังการผลิตสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ช่วยเพิ่มความหลากหลายในการผลิตสินค้า และสามารถผลิตได้ตามคุณภาพและเวลาที่กำหนด

ขณะที่ความต้องการใช้ถุงยางอนามัยเติบโตขึ้นทุกปีปีละ 10% จากอุตสาหกรรมที่ผลิตอยู่ราว 30,000 ล้านชิ้น ในขณะนี้ จึงเชื่อว่าบริษัทยังมีโอกาสในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

“นอกจากนี้ จุดแข็งอย่างหนึ่งของบริษัทในธุรกิจนี้คือการอยู่ในแหล่งวัตถุดิบ ซึ่งก็คือน้ำยางพารา เพราะประเทศไทยเป็นแหล่งปลูกขนาดใหญ่ของโลก อีกทั้งยังมีต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบที่ต่ำกว่า ขณะเดียวกันผู้เล่นรายใหม่ที่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ค่อนข้างยาก เพราะในช่วง 3 ปีแรกบริษัทเหล่านั้นจะยังไม่สามารถขายสินค้าที่ผลิตได้เลย เพราะจำเป็นต้องขอใบอนุญาตและใบรับรองต่างๆ รวมถึงการทดสอบสินค้าในหลายขั้นตอน จึงแทบไม่มีผู้สนใจเข้ามาทำ”

การเติบโตในอนาคตต่อจากนี้เชื่อว่าจะไปทั้ง 2 ขา คือ รับจ้างผลิต และแบรนด์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทก็พยายามหาช่องทางในการเติบโตในตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่างตลาดจีน ซึ่งมีความต้องการใช้ราว 4,000-5,000 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทก็มีลูกค้ารายใหญ่ที่รับจ้างผลิตให้อยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน บริษัทก็พยายามมองหาแบรนด์อื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด และได้รับการยอมรับอยู่แล้ว โดยอาจจะพิจารณาเข้าไปร่วมทุนเพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้า และเพิ่มสัดส่วนรายได้จากแบรนด์ให้สูงขึ้น อย่างที่ผ่านมาบริษัทเป็นผู้รับจ้างผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ Playboy และเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทย ก็ทำให้บริษัทมีข้อมูลและรู้จักกับสินค้าแบรนด์อื่นๆ อยู่พอสมควร

สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมาระหว่างปี 2556-2558 นั้น มีรายได้จากการขายสินค้า 1,053.2 ล้านบาท 1,182.4 ล้านบาท และ 1,302.2 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 96.5 ล้านบาท 108.6 ล้านบาท และ 234 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนของปีนี้ มีรายได้จากการขายสินค้า 934.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 158.1 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายใหม่ 37.50 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทอีกจำนวน 37.50 ล้านหุ้น รวมแล้วน คิดเป็น 25% ของหุ้นสามัญจดทะเบียนของบริษัท

กำหนดจะทำการสำรวจความต้องการซื้อจากนักลงทุนสถาบัน (บุ๊กบิวดิ้ง) รวมถึงจะเดินทางนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนสถาบันและรายย่อยในประเทศช่วงกลางเดือน พ.ย. นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ช่วงปลายเดือน พ.ย. ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์