ยูโอบีปักธงปี60โต20%เจาะลูกค้าแบงก์รุกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ยูโอบีปักธงปี60โต20%เจาะลูกค้าแบงก์รุกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

บลจ.ยูโอบี ตั้งเป้าปี60 ดันเอยูเอ็ม โต 15-20% แตะ 350,000ล้านบาท ผนึกแบงก์ยูโอบีขยายฐานลูกค้าให้น้ำหนักกับธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขึ้

 

หลังภาพรวมเอยูเอ็มในนี้ยังมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าที่ 310,000 ล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความผันผวนช่วงสั้นจากเลือกตั้งและขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UOBAM เปิดเผยว่า ทิศทางการเติบโตของบริษัทในช่วงปี 2560 นั้นบริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร ( AUM ) ให้เติบโตจากช่วงปีที่ผ่านมาประมาณ 15-20% คิดเป็นเม็ดเงินที่ระดับ 350,000 ล้านบาท 

สำหรับกลยุทธ์ในปีหน้าบริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับการเติบโตของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้น เพราะเชื่อว่า กองทุนดังกล่าวในช่วงปี 2560 ยังมีโอกาสในการเติบโตได้มากขึ้น   โดยบริษัทยังเห็นว่าช่องว่างทางการตลาดยังมีอีกมาก ซึ่งเป็นการเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรม

“ช่วงปีหน้าเป็นปีที่ องค์กร หน่วยงานต่างๆ สถานศึกษา ต่างให้ความสำคัญในการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้น ดังนั้นมองว่า ช่วงปีหน้าจึงเป็นอีกปีที่คาดว่าจะเติบโตในส่วนของกองทุนดังกล่าว และในช่วงปีหน้าบริษัทจะใช้ความร่วมมือกับธนาคารยูโอบีในการขยายฐานลูกค้าในเรื่องของการบริหารเงินลงทุนมากขึ้น”นายวนากล่าว

ในขณะที่ปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่า จะสามารถบริหาร AUM เติบโตได้ตามเป้า 310,000 ล้านบาท จากปัจจุบันสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่ระดับ 308,000 ล้านบาท เติบโตมาแล้วประมาณ 8.72% จากสิ้นปีก่อน โดยกองทุนรวมยังคงเป็นกองทุนหลักที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามาให้บริษัทช่วยบริหารอยู่เป็นจำนวนมากทำให้บริษัทมีสัดส่วนกองทุนดังกล่าวเติบโตประมาณ 15% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 157,263 ล้านบาท ขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(Provident Fund) เติบโตอยู่ประมาณ 25%คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น84,014 ล้านบาท ส่วนกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เติบโต7-10% คิดเป็นเม็ดเงิน 60,000-70,000 ล้านบาท

ส่วนการเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนช่วง 9เดือนที่ผ่านมาเติบโตประมาณ 13.52% คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนรวมประมาณ 6,286,362 ล้านบาท แบ่งไปกองทุนรวมเติบโต 12.70% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 4,579,238 ล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เติบโต 24.67% คิดเป็นเม็ดเงิน 736,588 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล เติบโตประมาณ 962,902 ล้านบาท เติบโต8.97%

นายวนา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนตลาดหุ้นไทยปีนี้ คาดว่าระยะสั้น มีแนวโน้มเผชิญกับความผันผวนจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี รวมทั้งมาตราการต่างๆของธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB และธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ

 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวดีขึ้น จะเป็นผลบวกต่อตลาดทุนได้ในระยะยาว ดังนั้น บริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทยในระยะยาว ส่วนโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ เชื่อว่าไม่กระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก

ส่วนกลยุทธ์ลงทุนช่วงที่เหลือของปีนี้ ธีมการลงทุนยังคงแนะนำเลือกลงทุนเป็นรายตัวรวมไปถึงช่วงปีหน้า สำหรับหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน เน้นหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเป็นหลัก เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวยังคงได้รับอานิสงส์จากโครงการลงทุนของภาครัฐ ส่วนหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มอุปโภคบริโภค และกลุ่มธนาคาร ยังคงเป็นกลุ่มที่ยังต้องใช้ความระมัดระวังอยู่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ยังคงต้องรอดูระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ช่วงไตรมาส 4ปีนี้อีกครั้งว่าจะยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร

 ส่วนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก เชื่อว่า หุ้นดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงในช่วงปี 60 แต่นักลงทุนต้องเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมีความปันผวนต่ำเป็นหลัก อาจจะเน้นลงทุนเป็นรายตัวมากขึ้น