พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 กับ ‘เศรษฐศาสตร์’ (3)

พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 กับ ‘เศรษฐศาสตร์’ (3)

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 กับ "เศรษฐศาสตร์"(3) ตลอด70ปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระวิริยะอุตสาหะ

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ้งภากรณ์ จัดทำบทความฉบับพิเศษจาก “๙ นักเศรษฐศาสตร์” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ต่อพระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถทางด้านเศรษฐศาสตร์ และการพัฒนาประเทศ ฉบับนี้ถือเป็น ตอนสุดท้ายจากทั้งหมด 3 ตอน

.............................

ในหลวงกับแนวคิดด้านเศรษฐกิจมหภาค

“พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ภัทร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระอัจฉริยภาพในทางเศรษฐกิจ และทรงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความสามารถในการประยุกต์เอาหลักวิชาการมาปรับใช้กับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมได้อย่างดียิ่ง แม้พระราชกรณียกิจและพระราชดำรัสของพระองค์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชน เศรษฐกิจชนบท และการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ แต่พระองค์ก็ทรงได้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในด้านเศรษฐกิจมหภาค อีกทั้งยังได้พระราชทานแนวความคิดเพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยมุ่งให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทย

ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงปี พ.ศ. 2540 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจและแนวทางการแก้ไขในหลายโอกาส ในพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่บุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปี พ.ศ.2540 พระองค์ได้ทรงวิเคราะห์สาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจผ่านเรื่องเล่าสนุก ๆ 7 เรื่อง ซึ่งพอจะสรุปได้ว่าสาเหตุสำคัญของวิกฤตเศรษฐกิจคือ 1. ความฟุ้งเฟ้อ การใช้จ่ายเกินตัว 2. การสร้างหนี้ไปใช้ในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และไม่เกิดรายได้ 3. การลงทุนเกินขนาดที่เหมาะสม 4. การขาดการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม

การวิเคราะห์ของพระองค์ท่าน มิได้ต่างไปจากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบัน ที่มองว่าสาเหตุสำคัญของวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก ได้แก่ การสร้างหนี้อย่างรวดเร็วเกินตัว การขาดการบริหารความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และการใช้จ่ายและลงทุนเกินตัวที่นำไปสู่ปัญหาความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการพึ่งพิงเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศ และนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในที่สุด

นอกจากนี้ พระองค์ท่านยังได้พระราชทานแนวคิดเรื่องหลักเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีหลักคิดสำคัญคือ ‘ความพอดี ความมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน’ และคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยง เป็นหลักที่มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และนอกจากจะเป็นการสร้างเสถียรภาพให้กับ ‘ชีวิตของแต่ละคน’ แล้ว ยังเป็นการสร้าง ‘เสถียรภาพ’ ให้เศรษฐกิจในภาพรวมหรือเศรษฐกิจมหภาคอีกด้วย ดังพระราชดำรัสที่ว่า “เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป”

.............................

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการดำเนินนโยบายการคลัง

“อธิภัทร มุทิตาเจริญ”อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีพระวิสัยทัศน์กว้างขวาง ทรงตระหนักถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกและผลกระทบในบริบทของประเทศไทย แนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ท่านพระราชทานแก่พสกนิกรเพื่อให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข บนหลักความพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน สามารถนำมาเป็นบทเรียนสำหรับการดำเนินนโยบายการคลังของประเทศไทยในปัจจุบันได้อย่างดียิ่ง

‘พอประมาณ’ คือ ความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ตั้งอยู่บนความเป็นจริง หลักความพอประมาณนี้ สอนให้ผู้บริหารประเทศตั้งอยู่บนความพอดี ไม่มองโลกในแง่ดีจนเกินไป ใช้ความสมเหตุสมผลในการดำเนินโครงการสาธารณะ ตัวอย่างหนึ่งคือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โครงการเหล่านี้ควรที่จะได้รับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility study) อย่างรอบคอบ โดยใช้สมมติฐานที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริงและเปิดเผยให้สาธารณชนตรวจสอบได้ ก่อนการตัดสินใจดำเนินการ

ดั่งพระราชดำรัสในปี พ.ศ.2540 “จะทำโครงการอะไร ก็ต้องนึกถึงขนาดที่เหมาะสมที่เรียกว่าอัตภาพ หรือกับสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นการที่จะทำโครงการอะไร จะต้องทำด้วยความรอบคอบและอย่าตาโตเกินไป ”

‘มีเหตุผล’ คือ คิดไตร่ตรองผลกระทบอย่างรอบด้าน หลักความมีเหตุผลนี้สำคัญยิ่งสำหรับการออกแบบมาตรการการคลังเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ แนวปรัชญานี้ชี้ว่า เราไม่ควรจะมุ่งหวังแค่เพียงผลลัพธ์ในรูปของตัวเลขการขยายตัวของ GDP เท่านั้น แต่ควรที่จะคำนึงถึงผลกระทบในระดับจุลภาค ต่อความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริงด้วย ตัวอย่างหนึ่ง คือ โครงการการมอบแรงจูงใจในรูปภาษี หรือตัวเงินอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนเร่งซื้อของ หรือสร้างหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด รัฐบาลควรที่จะพิจารณาไม่เพียงแค่ประสิทธิผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพียงไม่กี่ไตรมาสเท่านั้น แต่ยังควรที่จะไตร่ตรองผลกระทบรายบุคคลต่อสภาวะทางการเงินของผู้เข้าร่วมโครงการด้วย

ดั่งพระราชดำรัสในปี พ.ศ. 2536 “ทฤษฎีว่าถ้ามีเงินเท่านั้น ๆ มีการกู้เท่านั้น ๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่าจริง ตัวเลขดี แต่ถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง ”

‘มีภูมิคุ้มกัน’ คือ สร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งจากภายใน ลดความอ่อนไหวต่อปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ พระองค์ท่านทรงสอนให้คนไทยสร้างรากฐานในการดำรงชีวิต ซึ่งรากฐานนั้นจะมั่นคงได้ต้องอาศัยภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง ในบริบทการคลัง ภูมิคุ้มกันหนึ่งที่สำคัญคือการมีพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ที่มากเพียงพอที่จะรองรับสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน ตัวอย่างหนึ่งคือ การรักษาระดับหนี้สาธารณะไว้ไม่ให้สูงเกินไปจนจำกัดความสามารถของรัฐบาลในการก่อหนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่จำเป็น

ดั่งพระราชดำรัสในปี พ.ศ. 2541 “เศรษฐกิจพอเพียงสอนให้เราไม่โลภจนเป็นการผลาญตัวเอง แต่เป็นเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน ”

จะเห็นได้ว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นสะท้อนความเป็นจริงในบริบทการคลังได้เป็นอย่างดี การดำเนินนโยบายการคลังโดยให้ความสำคัญกับ 3 ห่วง นั่นคือ ความพอประมาณ การมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน ภายใต้เงื่อนไขของการมีความรู้และคุณธรรม จะสามารถนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

................................

ในหลวงกับวิสาหกิจเพื่อสังคม

“ภาวิน ศิริประภานุกูล” อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แนวคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งสะท้อนผ่านกระแสพระราชดำรัสและพระราชกรณียกิจนานัปการของพระองค์ ตั้งอยู่บนหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยการพัฒนาในลักษณะนี้มิได้ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและฉาบฉวย หากแต่มุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่คงทน ที่จะทำให้ประชาชนสามารถยืนหยัดอยู่บนลำแข้งของตนเองได้ในระยะยาว

หน่วยธุรกิจในลักษณะวิสาหกิจเพื่อสังคมถูกนำมาใช้เป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยปวงชนชาวไทยสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของวิสาหกิจเพื่อสังคมของพระองค์เพื่อนำมาใช้เป็นแบบอย่างในอนาคต โดยบทความนี้จะขอกล่าวถึง บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ซึ่งมีที่มาและลักษณะการดำเนินการที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 แต่มีจุดเริ่มต้นที่เกี่ยวพันกับพระราชกรณียกิจในช่วงปี พ.ศ. 2512 ที่ทรงต้องการแก้ปัญหาการปลูกฝิ่นของชาวเขาในพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศ โดยในช่วงเวลาดังกล่าว พระองค์มีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการหลวงพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขาขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกฝิ่น อาทิ ท้อ ลิ้นจี่ แอปเปิ้ล มันฝรั่ง เป็นต้น

การดำเนินการของโครงการหลวงสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนให้หันมาปลูกพืชทดแทนได้ อย่างไรก็ตาม พืชผลทดแทนดังกล่าวมิใช่สิ่งที่ชาวบ้านคุ้นเคย ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในการจัดหาตลาดเพื่อรองรับผลผลิตดังกล่าว พระองค์จึงมีพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปแก้ไขปัญหา และนำมาซึ่งการจัดตั้ง บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ในที่สุด

การดำเนินการหลักของ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เป็นการดำเนินการด้านการตลาดให้กับผลผลิตทางการเกษตรในโครงการหลวงอย่างครบวงจร โดยมิได้มุ่งหวังผลกำไร บริษัทมีบทบาทหลักในการยกระดับราคาสินค้าเกษตรของโครงการหลวง ผ่านการแปรรูปสินค้าอย่างมีคุณภาพและการจัดหาช่องทางจัดจำหน่ายที่เข้าถึงผู้บริโภค

เมื่อมองจากจุดตั้งต้นแล้วสามารถกล่าวได้ว่า บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่ป้องกันมิให้ชาวเขาหวนกลับไปปลูกฝิ่นอีกครั้ง บริษัทยังมีบทบาทในการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเขาเหล่านั้น รวมไปถึงยังเป็นพื้นที่สำหรับการฝึกฝนเรียนรู้ในการทำธุรกิจอีกด้วย และที่สำคัญอาจกล่าวได้ว่าการจัดตั้งบริษัทเป็นเสมือนการเติมเต็มในสิ่งที่ขาดให้กับโครงการพัฒนา ซึ่งจะส่งผลให้โครงการดังกล่าวสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืนในทุกองค์ประกอบ

พระอัจฉริยภาพที่สะท้อนผ่านการดำเนินโครงการพัฒนาที่ยั่งยืนนี้สมควรอย่างยิ่งต่อการน้อมรำลึกถึง และการนำไปเป็นต้นแบบในการดำเนินงานการพัฒนาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป