'HiveGround' หนังสือดีที่รออ่านบทสุดท้าย

'HiveGround'  หนังสือดีที่รออ่านบทสุดท้าย

ไดเร็คชั่นของด็อกเตอร์ 4-5 คนในทีม HiveGround (ไฮฟกราวนด์) มีความชัดเจนว่า ต้องการจะเปิดธุรกิจผลิตหุ่นยนต์

ไม่ได้มุ่งเรียน “ด็อกเตอร์” เพื่อทำงานสายวิชาการ 

“มหิศร ว่องผาติ” เป็นตัวแทนบอกเล่าถึงความเป็นมาและเป้าหมายว่า เขาและเพื่อนๆ ที่ร่วมกันก่อตั้งไฮฟกราวนด์ ล้วนหลงใหลเทคโนโลยี และชื่นชอบการประดิษฐ์มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจวบถึงปัจจุบัน

“ผมทำหุ่นยนต์มาตั้งแต่ปี 2543 จนถึงวันนี้ก็16 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังทำเรื่องเดิมอยู่ ไม่เคยเบื่อ ผมนั่งหาข่าวหุ่นยนต์อ่านทุกวัน ดูว่ามีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆเกี่ยวกับหุ่นยนต์บ้าง และทุกวันก็คิดอยู่ตลอดว่าจะทำอะไรกับหุ่นยนต์ต่อ”


เขาเล่าว่าที่ถือเป็นการจุดประกายครั้งสำคัญของตัวเขาเกิดขึ้นตอนเรียนมัธยมต้น เป็นชัยชนะในการแข่งขันประดิษฐ์รถซึ่งทำให้เขาและทีมได้เกรด 4 ในวิชานั้น และยังทำให้เขาได้เกรด 4.00 เพียงคนเดียวในปีการศึกษานั้นของโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย


เมื่อเข้าเรียนต่อระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมและได้สัมผัสกับคอมพิวเตอร์มากขึ้น ความชอบก็ยิ่งชัดจึงตกลงใจสอบเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรี วิศวะคอมพิวเตอร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างเรียนเขาก็สมัครเข้าชมรมนักประดิษฐ์วิศวกรรม (Engineering Inventor Clubหรือ EIC) และร่วมในการแข่งขันหุ่นยนต์มาโดยตลอด (ถ้าค้นกูเกิลก็จะเห็นรายชื่อเขาร่วมอยู่ในทีมที่ชนะการหุ่นยนต์เตะฟุตบอล)


"ผมขลุกอยู่ในการแข่งขันกว่าสิบปี ตัวผมแข่งอยู่สองสามปี หลังจากนั้นก็ช่วยอาจารย์ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงดูน้องๆ ในคณะที่เข้ามาอยู่ในทีมต่อ จับพลัดจับผลูเลยเรียนต่อโทด้านหุ่นยนต์ที่จุฬาฯ พอเรียนจบมีบริษัทญี่ปุ่นมาเรียกตัวให้ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ผมทำงานอยู่สามปีก็ลาออกไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเคโอ"


ในความเป็นจริงนั้น มหิศรกับเพื่อนๆ เริ่มพูดคุยถึงตั้งบริษัทตั้งแต่ปี 2552 แต่ติดที่ว่าทุกคนยังเรียนไม่จบและอยู่กันคนละประเทศ แต่มีการประชุมออนไลน์กันเป็นระยะๆ และไฮฟกราวนด์ก่อตั้งได้สำเร็จในปี 2554


"ตอนนั้นคำว่าสตาร์ทอัพยังไม่มีอยู่ในหัว แค่รู้ว่านี่เป็นธุรกิจที่รู้ว่าเราชอบ เราอยากทำ และก็รู้ด้วยว่าเวลานั้นมันแทบไม่มีโอกาสทางการตลาดเลยในประเทศไทย อุตสาหกรรมที่มันมีอยู่แล้วและใหญ่มากๆ ในเวลานั้นคืออุตสาหกรรมพวกแขนกลในโรงงาน ซึ่งเราไม่ไปยุ่งอยู่แล้ว ช่วงแรกมีงานอะไรเราก็รับหมด ไม่ได้วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน "


เขายอมรับว่าช่วงปีสองปีแรกธุรกิจอยู่ในลักษณะลุ่มๆดอนๆ แต่พอถึงปี 2556 ซึ่งทุกคนในทีม 4-5 คนต่างก็เรียนจบกันหมดและกลับมาทำงานแบบฟูลทีม ซึ่งฟ้าก็เริ่มเป็นใจ ไฮฟกราวนด์เริ่มได้รับงานที่ค่อนข้างจะเป็นความเชี่ยวชาญตรงเข้ามา เป็นการผลิตอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมมือกันระหว่างกองทัพอากาศกับ บริษัท มาร์ซัน จำกัด (ดำเนินธุรกิจเป็นอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย)


"แม้ว่าเรากำหนดว่าไฮฟกราวนด์เป็นบริษัทหุ่นยนต์ตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่ได้ว่าจะโฟกัสทางด้านไหน แต่ก็ทดลองทำหลายๆอย่าง เราได้ทำหุ่นยนต์ที่เป็นอากาศยานพวกยานพาหนะไร้คนขับ พวกโมบายโรบอท พวกซอฟท์แวร์ต่างๆ จนได้พบว่าจริงๆ หุ่นยนต์มันแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ อินดัสเตรียลโรบอท กับเซอร์วิสโรบอท"


กลุ่มแรกเป็นหุ่นยนต์ทุกชนิดที่ใช้ในการผลิต ส่วนหุ่นยนต์บริการจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่ โปรเฟสชั่นนอลเซอร์วิสโรบอท จำพวกหุ่นยนต์ที่เข้าไปกู้ภัย หุ่นยนต์ยาม รถยนต์อัตโนมัติ หรือโดรน เป็นต้น ส่วนอีกกลุ่มคือ คอนซูมเมอร์เซอร์วิสโรบอท หุ่นยนต์อัตโนมัติที่ใช้กันตามบ้านพักที่อยู่อาศัย เช่นเครื่องดูดฝุ่น ปัจจุบันที่เริ่มเห็นเยอะมากขึ้นก็คือ หุ่นยนต์ดินสอ


“กลายเป็นว่าที่เราได้ทำมากที่สุดคือกลุ่มของโปรเฟสชั่นนอลเซอร์วิสโรบอท เราทำโดรนให้กองทัพอากาศ และยังมีโครงการทำยานดำน้ำอัตโนมัติซึ่งถือเป็นโดรนอย่างหนึ่งให้กับบริษัทปตท. ด้วย”


ดีมานด์ที่เกิดขึ้นในตลาดช่วยให้ไฮฟกราวนด์โฟกัสตัวเองได้ชัดเจนขึ้น และทำให้มองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดเจนขึ้น จึงนำไปสู่แผนในการขยับจากมือปืนรับจ้าง หรือ การที่ลูกค้ามาบอกถึงความต้องการว่า “พี่อยากได้ของอย่างนี้น้องจะคิดเงินพี่กี่บาท” ก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่หมายถึงการไปนำเสนอลูกค้าว่า “ผมทำของแบบนี้พี่จะต้องการไหม”


"ในเรื่องของการบริหารจัดการจะต่างกัน การรับจ้างผลิตมีเวลาทำชัดเจน สามเดือนหกเดือนเราต้องส่งอะไรบ้าง ต้องรับประกันกี่ปี แต่การทำของขึ้นเอง เราต้องไปดูก่อนว่าจริงๆ แล้วลูกค้าเขาอยากได้อย่างที่เราคิดหรือเปล่า ต้องทำต้นแบบแล้วเอาไปนั่งคุย ต้องไปขายฝันกับลูกค้าว่าเขาซื้อไหม "


แล้วคนที่มาทางสายเทคโนโลยีมีความยากลำบากหรือไม่ ที่ต้องเปลี่ยนโหมดมาพูดคุยเรื่องของธุรกิจ มหิศรบอกว่าตัวเขาเองนอกจากเรื่องของเทคนิคแล้วก็สามารถไปพูดคุยเจรจาต่อรองทางธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง


"ต้องใช้คำว่าโชคดีมากกว่าเพราะผมมีโอกาสได้ทำงานกับเพื่อนซึ่งเขาเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทมาร์ซัน คุณพ่อของเขาให้ช่วยทำงานตั้งแต่เรียนจบ เขาค่อยๆเริ่มจากงานข้างล่างแล้วค่อยๆไต่ขึ้นมา ตอนที่ได้ไปร่วมงานกับเขา ผมจะตามเขาไปเวลาที่เขาต้องไปเจรจากับผู้ใหญ่ จนทำให้ผมได้เรียนรู้มา"


กลับมาที่เรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไฮฟกราวนด์ตั้งเป้าว่าจะสตาร์ทด้วยเทคโนโลยีและหุ่นยนต์ที่เกี่ยวกับการเกษตร เพราะที่ผ่านมาไฮฟกราวนด์มักถูกว่าจ้างให้ทำแต่งานด้านนี้ ทำให้เห็นปัญหาว่าเป็นเรื่องอะไร อย่างไร ทั้งเรื่องการเกษตรยังสามารถอธิบายให้คนเข้าใจได้ง่าย และภาพของเมืองไทยก็ค่อนข้างชัดเจนในเรื่องนี้ ซึ่งที่สุดจะช่วยสร้างความรู้จัก สร้างแบรนด์ได้เป็นอย่างดี


เขาอธิบายว่าโดยภาพรวมของภาคการเกษตรไทยนั้น เจ้าของเรือกสวนไร่นาต้องจ้างแรงงานคนฉีดยาฆ่าแมลงและให้ปุ๋ย ซึ่งค่าแรงมีราคาแพงอีกด้านหนึ่งก็ยังเป็นการบั่นทอนสุขภาพของคนที่เป็นผู้ฉีดยาอีกด้วย จึงเริ่มมีการใช้โดรนซึ่งมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง ใช้เวลาแค่นาทีเดียวในการฉีดยาในพื้นที่หนึ่งไร่ แต่ก็ต้องอาศัยคนคอยบังคับการบินซึ่งต้องมีความเชี่ยวชาญ เพื่อไม่ให้โดรนซึ่งมีราคาหลักหลายแสนตกเสียหาย ..แน่นอนมันคือความเสี่ยง


“แต่ในอนาคตถ้าภาคธุรกิจเกษตรเลือกใช้วิธีนี้เยอะขึ้น คือมีโดรนอยู่ในระบบเยอะขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยตัว ความต้องการมันจะมากไปกว่าคนบังคับ คือต้องเป็นซอฟท์แวร์มาคอยบริหารจัดการดูแลโดยอัตโนมัติไม่ต้องใช้คน”


มหิศรบอกว่า จะใช้แนวทางธุรกิจนี้ไปใช้ในการระดมทุน ซึ่งเวลานี้ไฮฟกราวนด์ได้รับเงินทุนจากธนาคารออมสินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


"บริษัทเรามีวิชั่นจะเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบควบคุมหุ่นยนต์และข้อมูลที่มันโฟร์อยู่ข้างใน อยากจัดการอย่างเป็นระบบ อยากเป็นผู้นำด้านการจัดการอุตสาหกรรม ที่เลือกใช้คำว่าอุตสาหกรรม เพราะเราเห็นภาพการควบคุมแบบนี้มันเป็นแพทเทิร์นที่ไม่ใช่แค่ภาคการเกษตร อีกหน่อยจะมีหุ่นยนต์ตามบ้าน คอนโดฯทั้งหลังจะมีหุ่นยนต์ทุกห้องรวมแล้วมากเป็นพันๆตัว หรือห้างสรรพสินค้าก็จะมีหุ่นยนต์ทำความสะอาดชั้นละ 5ตัว ถ้ามีอยู่ 8 ชั้นรวมทั้งหมดก็ 40 ตัว แล้วจะดูแลมันอย่างไร คือภาพชัดว่าในอนาคตต้องเกิดขึ้นแน่ๆ"


ส่วนแนวทางที่จะทำให้ตลาดตอบรับและยอมรับ เงื่อนไขชัดๆ ของบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์และหุ่นยนต์ทั่วๆไป มหิศรบอกว่าหนีไม่พ้นการสร้างของดี สร้างของที่ใช้ได้จริงๆ เหมือนกับทีวีถ้าเปิดมาแล้วไม่มีสัญญานภาพก็คงขายไม่ได้

ที่วางแผนเอาไว้ก็คือ ภายใน 6-8 เดือนจากนี้ไฮฟกราวนด์จะทำเดโมซิสเต็มออกมา โดยหวังว่าต้นปีหน้าจะมีลูกค้าตอบรับ 1-2 ราย รวมถึงจะไปร่วมงานเอ็กซิบิชั่นที่สหรัฐอเมริกาเพื่อประกาศตัวสู่ตลาดโกลบอลอีกด้วย

โรลโมเดลคือ กูเกิล


ถามว่าถึงความท้าทายในการทำธุรกิจ คำตอบก็คือ การที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้บริษัทเจ๊งหรือปิดตัวลง ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความสำเร็จของธุรกิจไม่สามารถก้อบปี้กันได้ แต่ต้องสร้างขึ้นมาด้วยตัวของตัวเอง


"ผมเองเป็นเพื่อนกับคุณยอด ซีอีโอวงใน ตอนที่คิดตั้งบริษัทก็โทรไปคุย ไปขอคำแนะนำจากเขา ซึ่งมันก็เป็นแค่ไกด์ไลน์ ไม่มีหนังสือ ตำราไหนที่เป็นสูตรสำเร็จ เราจะอ่านและทำตามได้ก็แค่สองบทแรก แต่บทที่สามถึงบทสุดท้ายต้องเขียนขึ้นมาเอง ซึ่งผมอาจจะจบด้วยการล้มละลายก็ได้ หรืออาจจบด้วยการเป็นบริษัทที่ส่งออกจรวดไปอวกาศเป็นบริษัทแรกของไทยก็ได้"


แต่อาจมีอยู่เรื่องเดียวที่น่าจะเป็นสูตรสำเร็จ ก็คือต้องหาทีมผู้ก่อตั้งที่ต้องร่วมกอดคอเพื่อเดินไปยังเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งถือว่าทีมก่อตั้งของไฮฟกราวนด์มีความเหนียวแน่นไม่แพ้ใครในเรื่องนี้


"เวลานี้เราต้องเพิ่มคนด้วย ความคิดของผมก็คือ ถ้างานมันดึงดูดเดี๋ยวคนก็จะมาหาเราเอง ตอนนี้ผมก็อ่านหนังสือเยอะโดยเฉพาะกรณีของกูเกิล ว่าเขาเตรียมทีม เตรียมคนกันอย่างไร เพราะกูเกิลเป็นบริษัทที่แวลลูเอ็นจิเนียร์ แวลลูสมาร์ทครีเอทีฟ "