สตาร์ทอัพได้เร็วกับแนวคิดโดนๆ

 สตาร์ทอัพได้เร็วกับแนวคิดโดนๆ

Co-founder คือหุ้นส่วนที่สำคัญ ต้องมีพี่เลี้ยงมาช่วยสตาร์ท ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็กต์ ต้องมีแพชชั่น ระวังเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ

เหล่านี้เป็นคีย์เวิร์ดโดนๆ จากการเสวนาหัวข้อ "Spring up your Start up idea"ภายในงาน Spring up Thailand 2016 ที่จัดโดยธนาคารไทยพาณิชย์ ของเหล่าสตาร์ทอัพชื่อก้องของไทย นั่นคือ "ยอด ชินสุภัคกุล" ซีอีโอ วงในดอทคอม (Wongnai.com) "รังสรรค์ พรมประสิทธิ์" Founder&Master Chef บริษัท วายเอ็มเอ็มวาย จำกัด (ยัมมี่) แอพพลิเคชั่นคิวคิว (QueQ) "ม.ล กมลพฤทธิ์ ชุมพล" Co-CEO & Co-founder ของ SKOOTAR แอพพลิเคชั่น และเว็บไซต์เรียกแมสเซ็นเจอร์ออนไลน์


Co-founder คือหุ้นส่วนที่สำคัญ


"การเลือกหุ้นเป็นหนึ่งในสามอย่างที่สำคัญที่สุดของการสร้างธุรกิจ นั่นคือ ต้องเลือกไอเดียที่ถูก เลือกหุ้นส่วนที่ดี Executeให้ดี ตอนเริ่มต้นธุรกิจคุณอาจเริ่มคนเดียวก็ได้ หรือทำกับหุ้นส่วนก็ได้ การเริ่มกับหุ้นส่วนมีข้อดี เพราะมีคนช่วยคิด ช่วยทำ มีหุ้นอยู่ในบริษัทที่เขาทำงานเหมือนเป็นเจ้าของบริษัทอีกคนหนึ่ง เหมือนเรามีแรงงานเพิ่มขึ้นคนหนึ่งและเป็นแรงงานคุณภาพที่คุณภาพต้องใกล้เคียงกับเรา มันแตกต่างกับการคิดแบบเถ้าแก่ เป็นหัวหน้าใหญ่ทุกคนเป็นแรงงานทั้งหมด เพราะมีค่อนข้างเหนื่อย" คือมุมมองของ ยอด ชินสุภัคกุล


อย่างไรก็ดี ข้อระมัดระวังของการที่สตาร์ทอัพจะมี Co-founderเป็นหุ้นส่วน คือจะต้องไม่คิดแบบเด็กๆ แต่ต้องคิดว่าใครทำแค่ไหน ควรจะได้หุ้นเท่านั้น


"ผมได้มีโอกาสคุยกับน้องๆสตาร์ทอัพเขาบอกว่ากลุ่มเขามี 4 คน ก็ถือหุ้นคนละ 25% มันเป็นวิธีคิดแบบทำรายงานมาให้อาจารย์ตรวจ ในความเป็นจริงก็คือ ต้องดูว่าใครที่ทุ่มเวลาให้กับธุรกิจ ใครที่ยังทำงานอื่นแต่ทำงานนี้เป็นพาร์ทไทม์ ใครเป็นคนออกเงิน ใครที่เป็นกำลังหลักที่ขาดไม่ได้ ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการแบ่งเปอร์เซ็นต์หุ้นทั้งนั้น ถ้าแบ่งเท่ากันเพื่อความยุติธรรม สุดท้ายคนที่ทำงานเต็มที่ก็จะมองว่าทำไมฉันต้องทำอยู่คนเดียว"


อีกปัจจัยสำคัญในการเลือก Co-founder สำหรับเขาก็คือ Work Ethic ที่ใกล้เคียงกัน ถ้าจะขี้เกียจก็ต้องขี้เกียจเท่าๆกัน ให้หมด ถ้าจะขยันก็ต้องขยันให้เท่าๆกันให้หมด ถ้ามีบางคนขยันมีบางคนที่ขี้เกียจก็จะทำงานด้วยกันได้ไม่นาน


ในกรณีของหุ้นส่วนที่เป็นนักลงทุน ซึ่งเป็นคนให้เงินเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ ก็มีความสำคัญเช่นกัน และต้องพูดคุยกันให้ชัดเจนว่าระบบการทำงานระหว่างเรากับเขาต้องเป็นอย่างไร


"สตาร์ทอัพทุกคนไม่อยากได้บอส ไม่อยากรีพอร์ตใคร ผู้ที่มาถือหุ้นใหม่เป็นอย่างมากที่สุดก็คือผู้ถือหุ้น จะมีหน้าที่แค่ให้ความช่วยสนับสนุน ให้คำแนะนำบ้างตามคำร้องขอ มันควรจะเป็นแค่นั้น อย่างของเรา เราก็คุยกับนักลงทุนเดือนละครั้งเท่านั้นเอง ครั้งละชั่วโมงก็จบ"


ด้าน รังสรรค์ พรมประสิทธิ์ บอกว่า สำหรับคิวคิวยังไม่มีการระดมทุน ยังคงใช้เงินตัวเอง แต่ปัจจุบันได้เดินมาถึงเวลาที่ต้องการใช้เงินเพื่อนำมาใช้ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ


"เรากำลังมองหานักลงทุน ตอนนี้เรากำลังเลือกกันอยู่ กำลังจีบกันอยู่ แต่โชคดีที่ถ้าเราสามารถลงทุนเองได้ก่อนจนเราไปได้สูงแล้วค่อยไปหาคนมาจีบค่อยให้เบอร์เขา แต่หลายๆสตาร์ทอัพมีแค่ไอเดีย ได้เงินจากคุณพ่อคุณแม่มาไม่มาก ทำให้เลือกได้น้อย ต้องรีบเข้ารันเวย์เพื่อให้มีเงินไปต่อได้"
มีพี่เลี้ยงมาช่วยสตาร์ท

มีพี่เลี้ยงมาช่วยสตาร์ท ไม่ต้องรอวันเพอร์เฟ็ก

สตาร์ทอัพอาจเหมือนนกที่เพิ่งโต ปีกยังไม่แข็งแรงที่จะบินได้สูงและไกล ม.ล กมลพฤทธิ์ ชุมพล เล่าว่า ในช่วงเริ่มต้นทำ SKOOTAR พยายามทำให้ความเสี่ยงเกิดน้อยที่สุด โดยลงทุนไม่เยอะมาก ทดลองทำออกมาทีละเวอรชั่นเพื่อให้ลูกค้าได้ลองใช้ แล้วค่อย ๆปรับไป แต่ที่สุดก็ตัดสินใจเข้าโครงการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท


"เพราะเขาให้ทั้งเงินและให้การสนับสนุนด้านอื่นๆ ให้ออฟฟิศใช้ และมีกูรูในวงการ อย่างพี่ยอด วงในก็มาเป็น Mentorให้คำแนะนำเรา และช่วยเราเรื่องการตลาด เราสามารถร่วมทำกับหน่วยงานอื่นๆของดีแทคได้ เช่นส่วนงานที่เกี่ยวกับเอสเอ็มอี เราก็มีการคุยว่าเราเอาโปรดักส์มาแพ็คทำตลาด ทำโปรโมชั่นด้วยกันไหม"


ม.ล กมลพฤทธิ์ บอกว่า เขาและผู้ก่อตั้งทั้งหมดของ SKOOTAR ที่มีอยู่ด้วยกัน 3 คน เห็นตรงกันว่า เมื่อได้มองพอย้อนกลับไปก็รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องกับการเข้าโครงการของดีแทค ทำให้การสตาร์ทเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากลุยด้วยตัวเอง คงทำได้ช้ากว่านี้มาก
ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็ก


ภายในงานมีผู้บริหาร ของบริษัท เอ คอมเมิร์ซ จำกัด แชร์ให้ฟังถึงเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาพบว่าเอสเอ็มอีก คนมีไอเดียดีๆ และสตาร์ทอัพหลายต่อหลายรายที่อยากทำให้ไอเดียของตัวเองเพอร์เฟ็กก่อนนำสู่ตลาด แต่แนวทางที่น่าจะดีกว่าก็คือ การที่ทดลองทำออกมาแล้วให้ฟีดแบ็คว่าเป็นสิ่งที่ต้องการหรือไม่อย่างไร เป็นราคาที่ตลาดยอมจ่ายหรือไม่ จากนั้นก็นำปรับเพื่อตอบสนองต่อความต้องการ


เพราะคงไม่มีโปรดักส์อะไรที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่นำสู่ตลาดเป็นครั้งแรก คุณสมบัติที่ดีของสตาร์ทอัพก็คือ ต้องปรับให้เร็วและมีความยืดหยุ่น จะทำให้ชนะบริษัทขนาดใหญ่ที่กว่าจะตัดสินใจปรับเปลี่ยนแต่ละครั้งก็ต้องอาศัยระยะเวลา


มีแพชชั่น อย่าเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ


มีคำถามจากคนที่สนใจร่วมงานว่า ควรเริ่มเป็นสตาร์ทอัพตอนอายุเท่าไหร่ และหากมีแรงเชียร์จากทางครอบครัวให้ทำควรตัดสินใจอย่างไร ซึ่งยอด ชินสุภัคกุล ตอบว่า ตามสถิติแล้วช่วงอายุที่จะทำสตาร์ทอัพได้ดีอยู่ที่ 28-30 ปี กว่าๆ แต่ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป

เพราะ "อีลอน มัสก์" ผู้ร่วมก่อตั้ง paypal,tesla motors และ SpaceX ที่ส่งจรวดไปสู่อวกาศแม้อายุจะขึ้นเลขสี่แล้ว แต่ในเวลานี้เขากลับเป็นไอดอลของเหล่าสตาร์ทอัพทั่วโลก


"ไม่มีใครแก่เกินไป ข้อสำคัญอยู่ที่บางคนเหมาะกับสตาร์ทอัพ บางคนก็เหมาะกับงานประจำ ถ้าคนออกมาทำสตาร์ทอัพหมดมันก็เจ๊งหมด สุดท้ายสตาร์ทอัพที่จะประสบความสำเร็จได้มีจำนวนเท่าเดิม แม้ว่าจะมีคนเข้ามาในวงการเยอะเท่าไหร่ก็ตาม โปรดักส์ที่คนใช้ก็มีจำกัด ฉะนั้นเดิมอัตราประสบความสำเร็จมีอยู่ 1% ถ้าคนเข้ามาเยอะก็อาจเหลือแค่ 0.1% ก็ได้"


การเป็นสตาร์ทอัพทำธุรกิจของตัวเอง ขึ้นอยู่กับความชอบเป็นพื้นฐานและการตัดสินใจของตัวเอง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะจริงๆ เพราะถ้าไม่เหมาะก็อาจกลายเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ทั้งได้แนะนำว่าตอนเริ่มต้น อาจไม่จำเป็นต้องออกจากงานประจำแต่ทดลองทำคู่กันไป เพราะสตาร์ทอัพในช่วงแรกๆไม่มีทางได้เงินมากกว่างานประจำ ต้องถามว่าตัวคุณเองเหมาะหรือเปล่า?


ขณะที่ รังสรรค์ บอกว่า ต้องบอกว่า ไม่ใช่มีเราเป็นรายแรกในตลาดที่คิดที่จะทำไอเดียธุรกิจนี้ขึ้นมา คิวคิวเองก็เช่นกัน ที่เขาแนะก็คือ หากมีแค่ไอเดียเท่านั้นอาจเข้าสูตรที่ว่า "ใคร ๆก็ลอกได้" ตอนที่คิวคิวลอนซ์สู่ตลาดครั้งแรกยังไม่ทันทำอะไรต่อพอไปออกงานแสดงสินค้าและเมื่อคนอื่นได้เห็นก็สามารถลอกเลียนได้ สิ่งสำคัญที่สุดแล้วก็คือ "โซลูชั่น" ที่ต้องทำมาถึงระดับหนึ่งจนพิสูจน์ได้ จากนั้นจึงค่อยๆพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้น


ข้อสรุปก็คือ การเป็นสตาร์ทอัพขึ้นอยู่กับทัศนคติที่มีอยู่ของแต่ละคนมากกว่า ว่ายินยอมจะทำงานหนักแค่ไหนเพื่ออนาคต เรามีแนวคิดและใจที่เปิดกว้าง พร้อมจะเรียนรู้ความแปลกใหม่ ความสำเร็จ รวมถึงความล้มเหลว และมุ่งมั่นทุกวันว่าทำอย่างไรให้ธุรกิจดีขึ้น และอย่าเชื่อที่มีบางคนบอกว่า สตาร์ทอัพทำงานสบาย เพราะหากกระโจนลงมาทุกรายไม่เคยกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน โลกของสตาร์ทอัพไม่ใช่งานทั่วไปที่เข้าตอนเช้าออกตอนเย็น มิหนำซ้ำที่บางทีเที่ยงคืน ตีหนึ่งก็ต้องทำงาน

3 มุมคิดคีย์ซัคเซส

"ให้น้ำหนักที่โปรดักส์ที่ดี คนมักมองสตาร์ทอัพเป็นวิธีการ ต้องมีการระดมทุน ทำการตลาดแบบรุกหนัก ที่สุดแล้วมันต้องกลับมาที่โปรดักส์ของคุณว่าดีหรือเปล่า ถ้าคุณมีโปรดักส์ไม่ดี แม้จะมีการตลาดที่ดี มีทีมงานที่ขยันมาก ผมว่ามันก็ไปได้ยากอยู่ดี ถ้ามีโปรดักส์ดีทุกอย่างจะง่ายขึ้นเพราะมันขายตัวเองอยู่แล้ว"  คือแนวคิดของ ยอด ชินสุภัคกุล


"คิวคิว เนื่องจากสตาร์ทอัพเกิดมาเพื่อ Disrupt ธุรกิจเดิม หมดยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้ว เราต้องเป็นปลาเร็ว ความคล่องตัวของการคิด วิธีการทำ ความยืดหยุ่นของทีมงานก็เป็นสิ่งสำคัญ การที่เราทำออะไรออกไปแล้วเจอจุดบกพร่อง เราต้องพลิกตัวได้เร็ว"  มองในมุมของ รังสรรค์ พรมประสิทธิ์  


"ผมเน้นเรื่องของ Passion การที่เราต้องการทำธุรกิจนี้้เพราะตรงกับสิ่งที่เราชอบ เมื่อได้ทำมันจะไม่ใช่งานแต่มันคือชีวิต ตื่นเช้ามาก็รู้สึกสนุกทุกวันและนำไปสู่โปรดักส์ที่ดี ส่วนที่สอง เราต้องพร้อมจะเฟล และพร้อมจะเรียนรู้ ลองทำเวอร์ชั่นแรกออกมาให้คนได้ลองใช้แล้วก็ค่อยปรับเวอร์ชั่นที่สอง ที่สาม เพื่อให้เกิดโปรดักส์ที่ดี ส่วนที่สาม เป็นทีมที่ต้องเลือกคนที่ถูกต้องเพื่อที่จะเดินไปด้วยกัน หาคนที่มีทัศนคติแบบเดียวกัน" คือมุมมองของ ม.ล กมลพฤทธิ์ ชุมพล