'เถ้าแก่น้อย' เกาะกรแสกีฬาฟีเวอร์ขยายฐานลูกค้า
สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ถูกใช้เป็นกลยุทธ์สร้างแบรนด์จากอดีตนิยมสูงเฉพาะกลุ่มสินค้าสำหรับผู้ชาย ปัจจุบันขยายวงกว้างสู่สินค้าทุกเพศทุกวัย
ทั้งรถยนต์ เสื้อผ้า แฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดื่ม อาหาร และ ขนมขบเคี้ยว หรือ สแน็ค ล้วนมี "สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง" เป็นอาวุธทางการตลาดด้วยกันทั้งสิ้น ล่าสุดแบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" ประกาศตัวเป็นสปอนเซอร์ทีมฟุตบอลชาติไทยตะลุยศึกฟุตบอลโลก
อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่ายปรุงรส เถ้าแก่น้อย (TaoKaeNoi) กล่าวว่า เถ้าแก่น้อยเริ่มให้การสนับสนุนวงการฟุตบอลไทยตั้งแต่การแข่งขันในรายการฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 44 ฟุตบอลถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ 2559 โดยจะเห็นป้ายโฆษณา โลโก้เถ้าแก่น้อยอยู่ข้างสนาม และล่าสุดเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนทีมฟุตบอลไทย เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย ซึ่งจะเริ่มแข่งขันตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป
โดยเถ้าแก่น้อย เป็นสปอนเซอร์หลัก มีสัญญา 1 ปี พร้อมกับทำกิจกรรมผ่านกลยุทธ์สปอร์ต มาร์เก็ตติ้งในรูปแบบต่างๆ ตลอดปี ภายใต้งบ 30 ล้านบาท โดยแต่ละปี บริษัทจะใช้งบการตลาดราว 6-7% ของยอดขาย สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ
การชูกลยุทธ์ "สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง" ปีนี้ เชื่อว่าจะช่วยให้เถ้าแก่น้อยสามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ในต่างจังหวัด จากเดิมที่มีกลุ่มลูกค้าในเมือง ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น ซึ่งมาจากกลยุทธ์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มาร์เก็ตติ้ง ทั้งในรูปแบบมิวสิค มาร์เก็ตติ้ง คอนเสิร์ต และอีเวนต์ ต่างๆ
“กิจกรรมผ่านสปอร์ต มาร์เก็ตติ้งจะมีหลายรูปแบบ ทั้งการโฆษณารอบสนามฟุตบอล การจัดกิจกรรมต่างๆ บริเวณสนามฟุตบอล รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ ผู้ที่สนใจกีฬาฟุตบอลและจากกลุ่มแฟนคลับนักฟุตบอลทีมชาติไทย”
นอกจากนี้สปอร์ต มาร์เก็ตติ้งยังช่วยสร้างแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมกีฬา ซึ่งปัจจุบัน "นักกีฬาไทย" สร้างผลงานได้โดดเด่น เป็นที่รู้จักและสร้างชื่อให้คนไทยอย่างมาก
เถ้าแก่น้อย ยังมีกลยุทธ์การทำตลาดผ่านการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ สาหร่ายอบ “ บิ๊กชีท อบ” เจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ สาหร่ายทะเลทอดกรอบ “ซีเกิ้ล” ปัจจุบันเถ้าแก่น้อย มีสินค้า 4 กลุ่ม รวม 150 รายการ ได้แก่ สาหร่ายทอด 55% สาหร่ายย่าง 37% ที่เหลือ เป็น สาหร่ายอบ และ สาหร่ายเทมปุระ
“กลุ่มลูกค้าหลักของเถ้าแก่น้อย นอกจากเป็นผู้บริโภครุ่นใหม่แล้ว ยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย และนิยมเลือกซื้อเถ้าแก่น้อย เป็นของฝากจากเมืองไทย"
โดยสาหร่ายเถ้าแก่น้อยถือเป็นสินค้าที่ระลึกอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวจีน ยิ่งปริมาณนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มสูง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เถ้าแก่น้อยเติบโตตาม
ทั้งนี้ ผลประกอบการของเถ้าแก่น้อยในครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 2,138 ล้านบาท เติบโต 41.5% มีกำไร 345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในปีนี้มีรายได้รวม 4,300 ล้านบาท เติบโต 25% เป็นรายได้จากต่างประเทศ 55% ในประเทศ 45% จากเดิมตั้งเป้าหมายปีนี้จะเติบโต 10-15% หรือมียอดขายรวม 3,800 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดในประเทศ เติบโต 19% ส่วนตลาดต่างประเทศ ซึ่งเถ้าแก่น้อยมีวางจำหน่ายใน 42 ประเทศทั่วโลก ตลาดหลักเป็นแถบเอเชีย 80-90% เติบโต 68% และมีแผนขยายตลาดใหม่ๆ ไปยังแถบอินเดีย ยุโรป และสหรัฐ ขณะที่ร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ ( TaoKaeNoi Land) เปิดบริการ 6 แห่ง มีแผนเปิดสาขาที่ 7 ในเดือน ก.ย.นี้ ที่โชว์ดีซี ย่านพระราม 9
ภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยว หรือ สแน็ค ช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท เติบโต 3% ถือว่าเติบโตต่ำ จากปกติเติบโตเฉลี่ย 10% กลุ่มที่มีการเติบโตดีได้แก่ ถั่ว ปลาเส้น ส่วนมันฝรั่ง เติบโตลดลง โดยส่วนใหญ่เป็นการเติบโตจากการออกสินค้าใหม่ๆ
สำหรับตลาดขนมสาหร่าย มีมูลค่าตลาดรวม 2,540 ล้านบาท เติบโต 1-2% ขณะที่เถ้าแก่น้อยเติบโต 8-10% สูงกว่าตลาดรวม เป็นการเติบโตที่ไม่รวมนักท่องเที่ยว แต่หากรวมนักท่องเที่ยว เติบโต 19% ปัจจุบัน เถ้าแก่น้อย เป็นผู้นำตลาดสาหร่าย ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 66% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีส่วนแบ่งตลาด 62%
"เถ้าแก่น้อย" ต้องทำงานให้มากและหนักขึ้นกว่าเดิม
ท่ามกลางคู่แข่งจำนวนมาก ขณะที่ธุรกิจมี "ความเสี่ยง" มากขึ้นเช่นกันจากปัจจัยลบที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ การขับเคลื่อนธุรกิจต้องเตรียมความพร้อมรอบด้าน
"ต้องทำงานให้มากและหนักขึ้นกว่าเดิม" เป็นกลยุทธ์หลักของ "เถ้าแก่น้อย" สำหรับ "รับมือ" สถานการณ์ตลาดเวลานี้ ที่เศรษฐกิจ และการบริโภคในประเทศยังไม่ฟื้นตัวมากนัก จะผลักดันการเติบโตของยอดขายและรักษาเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างไร คือ โจทย์ตั้ง
"เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ บริหารจัดการด้านต่างๆ ให้สอดคล้องกับภาวะการณ์ปัจจุบันให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องต้นทุน การหาตลาดใหม่เพื่อเพิ่มยอดขาย"
เถ้าแก่น้อย มองตลาดประเทศอินเดีย สหรัฐ และกลุ่มประเทศยุโรป เนื่องจากสินค้าประเภทสาหร่ายยังไม่แพร่หลายในประเทศเหล่านี้ เป็น "ช่องว่าง" และ มีโอกาสในการเติบโตสูงในอนาคต ขณะที่ตลาดส่งออกหลักเวลานี้ ได้แก่ จีน เวียดนาม ที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะจีน เติบโตมากกว่า 100% ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจในต่างประเทศของบริษัทเติบโตถึง 68% เทียบตลาดในประเทศเติบโต 19%
ในจังหวะเศรษฐกิจชะลอตัว เถ้าแก่น้อย ยังลงทุนสวนกระแส โดยจัดสรรงบประมาณ 500 ล้านบาท จัดตั้งโรงงานแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เป็นการลงทุนต่อเนื่องจากปีก่อน หากโรงงานแห่งนี้แล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2560 จะทำให้กำลังผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นอีก "1 เท่าตัว" จากปัจจุบันผลิตได้ 6,000 ตันต่อปีจากโรงงานที่ จ.ปทุมธานี จะเพิ่มเป็น 1.2 หมื่นตันต่อปี รองรับแผนการขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
แนวทาง ทำงานให้มากและหนักขึ้นกว่าเดิม เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่เป้าหมาย "ผู้นำ" ตลาดขนมขบเคี้ยวในเอเชีย ภายใน 3-5 ปีจากนี้ เป็นจังหวะดีของกระแส "ฟุตบอล" ที่กำลังบูมสุดขีด สอดรับกลยุทธ์ "สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง" ที่เถ้าแก่น้อยเลือกนำมาใช้ในห้วงเวลานี้ เพื่อขยายตลาดและฐานลูกค้าในต่างจังหวัด รวมทั้งต่างประเทศ ที่สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง จะเป็นเครื่องมือสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ที่ทรงประสิทธิภาพ
"ตราสัญลักษณ์" หรือ "ป้ายโฆษณา" ข้างขอบสนามฟุตบอลภายในสนามแข่งขัน จะทำให้ลูกค้ามองเห็นและจดจำแบรนด์เถ้าแก่น้อย แม่นยำยิ่งขึ้น
จากฐานลูกค้าคนเมืองเป็นหลัก จะขยายสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น ผ่านแฟนฟุตบอลทีมชาติไทย นับจากนี้ และไม่ใช่เรื่องยากที่เถ้าแก่น้อยจะบรรลุเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้เร็วกว่ากำหนด 1 ปี อีกด้วย