ฮอลลีวูด“ฉากไทย”ก้องโลก ศึกชิงกองถ่ายต่างชาติ

ฮอลลีวูด“ฉากไทย”ก้องโลก ศึกชิงกองถ่ายต่างชาติ

ผลจากการเปิดรับกองถ่ายหนังต่างชาตินาน90ปี ดันรายได้3พันล้านเข้าไทย ยั่วน้ำลายคู่แข่ง เปิดศึกท้าชิง! ฮับถ่ายทำอาเซียน

ฉากอันงดงามติดตาตรึงใจปรากฎในภาพยนตร์ฮอลลีวูด และภาพยนตร์ต่างประเทศนับพันเรื่อง ต่างเคยใช้ไทยเป็นหนึ่งใน“โลเกชั่น”ถ่ายทำ เป็นผลมาจากไทยเปิดรับกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างแดนมานานเกือบ 90 ปี

ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เข้ามาใช้ไทยถ่ายทำ เกิดขึ้นในปี 1927 (89 ปีก่อน) คือเรื่อง Chang : A Drama of the Wilderness ภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกของบริษัทพาราเมาท์ (Paramount) บริษัทผลิตหนังที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกา

จากนั้นเรื่อยมา ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับฮอลิวูดอีกหลายเรื่องก็ทยอยเข้ามาใช้สถานที่ในไทยถ่ายทำ อาทิ ปี 1987 ภาพยนตร์เรื่อง Good Morning Vietnam จำลองสถานที่ในไทยกับเหตุการณ์สงครามในโฮจิมินห์ (ไซ่ง่อน-อดีตเมืองหลวงของเวียดนามใต้)  เพราะในยุคนั้นไทยเปิดกว้างในการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างชาติมากกว่าเวียดนาม ฉากเมืองไทยจึงได้ปรากฎในภาพยนตร์ประวัติศาสตร์สงคราม 

เช่นเดียวกันกับภาพยนตร์เรื่อง The Killing Fields ภาพยนตร์ย้อนเหตุการณ์ช่วงกัมพูชาล่มสลาย ที่ยึดพื้นที่ถ่ายทำในเมืองไทยจากความพร้อมกว่าประเทศเจ้าของเหตุการณ์ในยุคนั้น 

หรือภาพยนตร์ชื่อดังฮอลลีวูดที่คนรู้จักเมืองไทยเป็นอย่างดี และช่วยบูทกระแสเที่ยวไทย อย่าง James Bonds 007 ที่ทำให้เขาตะปู จังหวัดพังงา มีอีกชื่อเรียกใหม่ว่า เป็นเกาะเจมส์บอนด์ หรือภาพยนตร์เรื่อง The Beach ที่มีนักแสดงนำระดับแม่เหล็ก “ลีโอนาโด ดิคาปริโอ” เป็นนักแสดงนำ ปั้นให้เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เป็นเกาะสวรรค์บนดิน ปลุกกระแสให้ผู้คนทุกมุมโลกมาเยือนเกาะแห่งนี้

ภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำในไทย ไม่เพียงเพิ่มรายได้เข้าประเทศ ยังเกิดการถ่ายทอดความรู้ (Know how) จนเกิดทักษะ (Skill) ให้กับธุรกิจของคนไทยที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง

ไม่เพียงภาพยนตร์เหล่านี้เท่านั้น “กองกิจการภาพยนตร์และวีดีทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว”ให้ข้อมูลว่า ปีหนึ่งๆมีภาพยนตร์ “นับร้อยเรื่อง” ที่ใช้ไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ 

พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า หนึ่งในแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยว คือ การส่งเสริมให้มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในไทย 

โดยในปีที่ผ่านมา ยอดการถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยเติบโตอย่างรวดเร็วถึง 724 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มี 500 เรื่อง ทำเงินเข้าประเทศ เฉพาะมูลค่าการลงทุนภาพยนตร์ในไทยกว่า 3,000 ล้านบาท

ยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นกับธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น สถานที่พัก อาหาร บริการหลังการถ่ายทำ (Post production) ตลอดจนการสร้างภาพลักษณ์ (Image) ประเทศ ภายหลังฉากสถานที่ถ่ายทำในไทยปรากฎบนหน้าจอภาพยนตร์ ปลุกกระแสตามรอยภาพยนตร์ ไม่ต่างจากเรื่อง Lost In Thailand ภาพยนตร์จีนที่บางฉากถ่ายทำในไทย ปลุกกระแสให้นักท่องเที่ยวจีนแห่เดินทางไปตามรอย ท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ อิทธิพลของภาพยนตร์ยังทำให้ยอดนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดเป็นกว่า 8 ล้านคน

“การสนับสนุนให้ภาพยนตร์ต่างประเทศมาถ่ายทำในไทย ถือเป็นแผนการโฆษณาประเทศที่ดีที่สุด นอกจากจะได้เม็ดเงินโดยตรงแล้ว ยังได้ทางอ้อมจากการกระตุ้นการท่องเที่ยว"

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเดิมบางประเทศไม่เปิดกว้างในเรื่องดังกล่าวเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น หายใจรดต้นคอไทย

ในเรื่องนี้ “วรรณสิริ โมรากุล" อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เล่าว่า ในช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ประเทศเพื่อนบ้านเริ่มเพิ่มสิทธิพิเศษเพื่อดึงดูดกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศไปถ่ายทำมากขึ้น โดยเฉพาะการคืนเงินค่าใช้จ่ายจากการถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยในอัตราที่เหนือกว่าไทย ทำให้ไทยเริ่ม“สูญเสีย”ความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 

ที่เห็นเด่นชัดคือ “มาเลเซีย” และ “สิงคโปร์” ที่รุกหนักสร้างแรงจูงใจด้านโดยคืนค่าใช้จ่ายเมื่อเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในมาเลเซีย สัดส่วน 30% ขณะที่สิงคโปร์ คืนในอัตรา 40% ของค่าใช้จ่าย

ล่าสุด ซีรีส์ มาร์โค โปโล (Marco Polo) เรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ชายชาวอิตาเลียน ที่ค้นพบทวีปเอเชีย และประเทศจีน เข้าไปถ่ายทำในมาเลเซีย โดยใช้บริการสตูดิโอขนาดใหญ่อย่างไพน์วูด (Pinewood)

“ไพน์วูดสตูดิโอ เคยเข้าหารือกับไทยแต่กำลังต่อรองเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ ขณะที่มาเลเซียไวกว่า บริษัทนี้จึงตัดสินใจไปมาเลเซียแทนไทย"

ทำให้ไทยต้องเร่งคลอดมาตรการดึงดูดการลงทุน ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้บริษัทที่เข้ามาใช้ไทยถ่ายทำภาพยนตร์ จะได้รับการคืนเงิน 15% สำหรับกองถ่ายที่ใช้งบขั้นต่ำ 50 ล้านบาท และให้คืนเพิ่มอีก 3% เมื่อจ้างงานคนไทยในตำแหน่งสำคัญ รวมถึงให้คืนเพิ่มอีก 2% สำหรับกองถ่ายที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ตามที่ไทยกำหนด โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2560

ขณะที่สิทธิประโยชน์ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งไทย ปัจจุบันกำหนดให้เงินคืน 30% ของค่าใช้จ่าย ใน 3 รูปแบบ คือ กองถ่ายที่ใช้งบโปรดักชั่น 5 ล้านริงกิต (43.78 ล้านบาท) ,กองถ่ายที่ใช้บริการโพสต์โปรดักชั่น ขั้นต่ำ 1.5 ล้านริงกิต (13 ล้านบาท) และกองถ่ายซีรีส์ทางโทรทัศน์งบ 3.85 แสนริงกิต/ชั่วโมง (3.37 ล้านบาท) 

อธิบดีกรมท่องเที่ยว ยังกล่าวว่า ในช่วงที่มาตรการฯกำลังจะมีผลบังคับใช้ ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในปีนี้ จึงเป็นปีของการพัฒนา “อาวุธรบ” ของไทยให้ครบวงจรมากขึ้น แม้สิทธิประโยชน์จะยังน้อยกว่าคู่แข่งบางประเทส แต่เชื่อว่าจากความพร้อมของไทยทั้งสถานที่ถ่ายทำที่สวยงาม และความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานสตูดิโอ และทักษะของคน เช่น การบริการหลังถ่ายทำ เช่น ตัดต่อ ลงเสียง รวมถึงการพัฒนาสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์เป็นสากลมากขึ้น น่าจะเป็นอีกปัจจัยให้บริษัทถ่ายทำภาพยนตร์ตัดสินใจเลือกไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำได้ไม่ยาก

“ปีนี้ถือว่าเป็นการลับขุมอาวุธด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านภาษีและสตูดิโอให้พร้อม โดยปลายปีนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ออกไปโรดโชว์ไม่ใช่เพียงอีเวนท์ แต่เราจะนัดหมายเข้าพบแบบเคาะประตู (Knock door) กับผู้บริหารบริษัทภาพยนตร์ อาทิ โซนี่ พิกเจอร์ส เพื่อเสนอตัวถึงความพร้อมอของโรงถ่ายภาพยนตร์ในไทย”

ที่สำคัญยังสร้างเครือข่าย และความสัมพันธ์กับผู้บริหารฮอลลีวูด โดยดึงจอร์จ เดวิด (George David) ผู้จัดการทั่วไป Royal Film Commission อดีตผู้จัดการการผลิตและโปรดิวเซอร์ให้ภาพยนตร์ฮอลลิวูด และอีกคนคือ เกลน เอส.เกรนเนอร์ (Glenn S.Gainor) ประธานด้านโปรดักชั่นของโปรแกรม Sony Pictures Screen Gem มาร่วมเป็นกรรมการตัดสินการประกวดหนังสั้น ผลงานนักศึกษาที่เรียนด้านฟิล์มจากทั่วโลกมาผลิตหนังสั้นเกี่ยวกับประเทศไทย ในงาน Thailand International Film Destination Festival2016” ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา

“กิจกรรมประกวดหนังสั้นนอกจากจะสร้างความสัมพันธ์กับฮอลีวูดแล้ว ยังเป็นการเชื่อมต่อกับเด็กฟิล์มทั่วโลกที่ทำหนังสั้นในขณะที่ยังเรียนอยู่ได้เข้ามาเห็นโลเคชั่น โดยอนาคตเด็กเหล่านี้ เมื่อก้าวไปเป็นผู้กำกับในอนาคตอาจจะนึกถึงฉากในเมืองไทย”

ด้าน วรธีรา สุวรรณศร ผู้อำนวยการกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ เสริมว่า ที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านเริ่มรุกหนักในการดึงกลุ่มถ่ายทำภาพยนตร์ในต่างประเทศเข้าไปถ่ายในประเทศของตัวเอง “มาร์โคโปโล” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่มาเลเซียงัดมาตรการคืนภาษี 30% จนสามารถดึงหนังไปถ่ายทำในมาเลเซีย

ต้องยอมรับว่า อดีตไทยมีความโดดเด่นเพียงรายเดียว จึงทำให้ไทยเป็นเป้าหมายการถ่ายทำภาพยนตร์ดังในเอเชีย แต่ปัจจุบันไม่ใช่ เพราะหลายประเทศเริ่มเห็นประโยชน์จากการการสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศเขา ทำให้รัฐบาลต้องสร้างแรงจูงใจเรื่องนี้มากขึ้น

*งัด“อินบาวด์-เอาท์บาวด์”จีบทุน

หากไม่นับรวมความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับมาตรการคืนเงินค่าใช้จ่ายที่ไทยอยู่ที่ 15-20% ไทยยังถือว่ามีศักยภาพจากความพร้อมทั้งสภาพอากาศที่เหมาะสมหากเทียบกันกับมาเลเซียมีฝนตกทั้งปี ไทยยังมีเครื่องมือที่พร้อมถ่ายทำโดยที่ทางทีมงานต่างประเทศขนเพียงบุคลากรหลัก และเครื่องมือบางชนิดมาเท่านั้น ก็ปักธงถ่ายทำในไทยได้ทันที

โดยปัจจุบันยังถือว่าไทยยังครองอันดับ 1 ในการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ในอาเซียน ยาวนาน 50-60 ปี

ทั้งนี้ กลยุทธ์การโปรโมทเพื่อดึงกองถ่ายทำภาพยนตร์มาจากต่างแดนมาถ่ายทำในไทยมี 2 ด้าน ออกโปรโมทในต่างประเทศ (Outbound) ผ่านการเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆเทรดโชว์ ที่มีประมาณ 6 ครั้งต่อปีเทศกาลหนังเมืองคานส์ รวมถึงในอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี ประเทศเหล่านี้มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่แข็งแกร่งที่ส่งออกภาพยนตร์จำนวนมาก ทำให้ไทยสอดแทรกช่องทางทำเงินและโปรโมทในไทย

และแผนดึงกองถ่ายภาพยนตร์มาชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ได้เห็นของจริง ของโลเคชั่นที่สวยงามในไทย (Inbound) ที่เพรียบพร้อมทั้งเมืองที่มีความหลากหลายและขัดแย้งกันในตัว ตั้งแต่ ความทันสมัย และประวัติศาสตร์ วัด วัง รวมถึงไปชมสตูดิโอ ตลอดจนความเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังถือโอกาสนำชมศักยภาพผู้ให้บริการกองถ่ายภาพยนตร์ในไทย

“เราจะดึงผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจถ่ายทำหนังสักเรื่อง ประมาณปีละ 10 คนขึ้นไปในช่วงเดือนธันวาคมมาชมสถานที่ถ่ายทำในไทย อาทิ ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ ผู้จัดการด้านสถานที่ (Manager Location) รวมถึงคนเขียนสคริปต์"

นอกจากนี้ ยังจะเก็บแท็กเร็คคอร์ด บริษัทถ่ายทำภาพยนตร์ที่เคยเข้ามาเมืองไทยที่มีไม่ต่ำกว่า 6,000 บริษัท ซึ่งภาครัฐได้ทำแมกกาซีน (News letter magazine) เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของฉากการถ่ายทำหนังในเมืองไทย ส่งไปยังบริษัทเหล่านี้ให้เห็นถึงศักยภาพในแต่ละด้าน

*“หนังฟอร์มยักษ์”จ่อคิวเข้าไทย

กุลเทพ นฤหล้า นายกสมาคมผู้บริหารการผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศและกรรมการผู้จัดการบริษัท เบนีโทนฟิล์ม จำกัด ธุรกิจที่ตั้งอยู่ทั้งในไทยและอเมริกา เล่าถึงภาพรวมการถ่ายทำภาพยนตร์และหนังสั้นในไทยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาว่า หนังยาวมูลค่าสูงตั้งแต่ 50 ล้านขึ้นไปมีไม่ถึง 10 เรื่อง ส่วนใหญ่เมื่อเขาจะเข้ามา ก็จะถามถึงเรื่องสิทธิประโยชน์ ถ้าไม่มีเขาก็จะตัดสินใจย้ายสถานที่ทันที แต่คาดเมื่อมีสิทธิประโยชน์ที่ปีหน้าจะมีผลบังคับใช้คืนค่าใช้จ่ายสัดส่วน 15-20% เชื่อว่าไทยอยู่ในระดับที่แข่งขันได้

ที่ผ่านมา ไทยยังเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับหนังฟอร์มเล็ก ๆ หนังสั้น ที่มีจำนวนหลากหลาย แต่ยังไม่ค่อยเห็นหนังฟอร์มยักษ์ ดังนั้นสิทธิประโยชน์จึงเป็นจุดแข่งขันที่สำคัญที่จะดึงหนังฟอร์มยักษ์มูลค่าสูงเข้ามาในไทย

สำหรับกลยุทธ์การตลาด ส่วนใหญ่ชื่อเสียงด้านการผลิต และถ่ายทำภาพยนตร์เป็นการบอกปากต่อปาก โดยมาตรฐานของไทยถือเป็นมาตรฐานระดับโลกแล้ว สิ่งที่จะต้องประกาศต่อไปคือการเปิดประตูต้อนรับ และความพร้อมของสิทธิประโยชน์ ขณะเดียวกันทางสมาคมฯและกรมการท่องเที่ยวกำลังเตรียมแผนพัฒนาหลังบ้านในการบริหารจัดการด้านการถ่ายทำภาพยนตร์อย่างบูรณาการ

นอกจากนี้ การถ่ายทำภาพยนตร์ เกี่ยวข้องกับ 7-8 หน่วยงาน อาทิ กรมอุทยานแห่งชาติ ,กรมศิลปากร เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานรองรับและอำนวยความสะดวก เอื้อต่อการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย

“หลักกฎหมายเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการเข้าไปถ่ายทำของกองถ่าย จึงต้องร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำความเข้าใจหาวิธีการและข้อกฎหมายที่เอื้อต่อการปฏิบัติ เพื่อทำอุตสาหกรรมเติบโตง่าย ตอบสนองมาตรการอินเทนสีฟ เราประกาศบอกเวทีโลกแล้ว ต้องปรับวิธีการทำงานภายหน่วยงานของรัฐ”

-----------------------

“กันตนา”ผนึกพันธมิตร ลั่นกลองรบ!

จาฤก กัลย์จาฤก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าถึงศักยภาพในการเป็นพัฒนาทีมงาน เครื่องมือ มาตรฐานระดับฮอลลิวูด รวมถึงอัธยาศัยคนไทยว่า เป็นแม่เหล็กที่ทำให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติสนใจเมืองไทย แต่ยอมรับว่า เรื่องสิทธิประโยชน์ก็เป็นเงื่อนไขแรกของการตัดสินใจของหนังฟอร์มยักษ์ที่ใช้เงินทุนสูง

“คนไทยไม่แพ้ใคร เรามีชัยภูมิที่ดี คนไทยน่ารัก อัธยาศัยดี สู้งาน เก่งงานศิลปะ มีทักษะระดับฮอลลีวูด แต่สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันมากถึง 30% หากมูลค่าถ่ายทำ 100 ล้านก็ประหยัดงบแตกต่างกันตั้ง 30 ล้านบาท ทำอะไรจะได้กำไร 30% หากแข่งแฮนดิแคปต้องเท่ากันจึงสู้ได้ รัฐบาลควรมองด้านของการพีอาร์ประเทศฟรีๆ เราขอมา 10 กว่าปี วันนี้รอมีผลบังคับใช้ต้นปีเพื่อทำให้ไทยโดดเด่นขึ้นมา”

ส่วนความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ปิดสนามบิน เป็นความเจ็บปวดที่กันตนาไม่มีวันลืม เพราะเป็นช่วงที่เซ็นสัญญากับบริษัทในยุโรป 150 ล้านบาท แต่ไม่สามารถส่งมอบงานได้ทันตามกำหนด ตั้งแต่นั้นมาก็สูญเสียความสามารถในการแข่งขันมาโดยตลอด

จาฤก ยังเล่าถึงกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจในเครือกันตนาเตรียมรับกับกองถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ ทั้งการบริการหลังถ่ายทำ และการพัฒนาสตูดิโอ “กันตนามูฟวี่ ทาวน์” เพื่อรองรับการกองถ่ายทำที่จะมีโอกาสเข้ามาในปีหน้า

ชื่อของกันตนาระดับสากลที่สั่งสมประสบการณ์ทำงานกับต่างประเทศมากกว่า 30ปี ที่มีพันธมิตการทำงานต่างประเทศเชื่อมต่อกันมายาวนานจึงมีประสบการณ์และมาตรฐานระดับโลก จึงไม่ต้องห่วงเรื่องทักษะ ฝีมือและความแข็งแกร่งน่าเชื่อถือของแบรนด์ โดยเฉพาะการเข้าไปลงทุนด้านการผลิตรายการโทรทัศน์ ในกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา

นอกจากนี้ กันตนายังมีกลยุทธ์ที่เชื่อมต่อพันธมิตรบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก(Strategic Partner) ด้านบริการหลังการถ่ายทำกับประเทศ จีน ญี่ปุ่น รวมถึง ได้ลงนามเบื้องต้น (MOU) เป็นพันธมิตรกับบริษัท Deluxe Laboratories ฟิล์มแลบ อันดับ 1 ของโลก ทมีผลทำให้เป็นพันธมิตรธุรกิจอื่นๆ ที่มีการร่วมงานกันรับงานทางเทคดนโลยีด้านการผลิต การบริหารจัดการถ่ายทำ Post production

และยังมีบริษัท Smoke & Mirror ซึ่งเป็นบริษัท ด้าน Post production จากประเทศอังกฤษ ก็ได้เซ็นต์สัญญาร่วมทุนใช้กันตนาเป็นฐานในการพัฒนาธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน