คุ้มครอง 'เงินฝาก 15 ล้าน' ดีเดย์ 11 ส.ค.นี้

คุ้มครอง "เงินฝาก 15 ล้าน" ดีเดย์ 11 ส.ค.นี้
นับจากวันที่ 11 ส.ค.นี้ วงเงินคุ้มครองเงินฝากจะปรับลดลงไปอยู่ที่ 15 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน จากปัจจุบันอยู่ที่ 25 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่หาก ครม.ไม่มีมติดังกล่าว วงเงินคุ้มครองเงินฝากจะต้องปรับลดลงมาอยู่ที่ 1 ล้านบาท ตามข้อกำหนดเดิม ถือเป็นการชะลอการคุ้มครองในวงเงิน 1 ล้านบาทมาอย่างต่อเนื่องนับจากสถาบันประกันเงินฝากจัดตั้งขึ้นเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ วงเงินการคุ้มครองที่ 15 ล้านบาทต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงินนั้น จะสิ้นสุดถึงวันที่ 10 ส.ค.2561 ซึ่งจะครอบคลุมผู้ฝากที่มีเงินฝากภายในวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 90.90%ของผู้ฝากทั้งระบบ และ จะค่อยๆทยอยปรับจำนวนเงินคุ้มครองไปที่ 10 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2561ถึง 10 ส.ค.2562 จากนั้นจะคุ้มครอง 5 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2562 ถึง 10 ส.ค.2563 และ คุ้มครอง 1 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2563 เป็นต้นไป ซึ่งจะครอบคลุมผู้ฝากที่มีเงินฝากภายในวงเงินคุ้มครองถึงจำนวน 98.18% ของผู้ฝากทั้งระบบ ปัจจุบันจำนวนผู้ฝากมีทั้งหมด 68.59 ล้านราย
เปิดโอกาสให้ผู้ฝากปรับตัว
“สรสิทธิ์ สุนทรเกศ” ผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองเงินฝาก บอกว่า เหตุที่ต้องขยายระยะเวลาการคุ้มครองเงินฝากดังกล่าว เนื่องจากภาครัฐเห็นว่า การขยายเวลาจะมีข้อดีสำหรับประชาชนผู้ฝากเงินได้มีเวลาปรับตัวและวางแผนทางการเงินเพิ่ม มีเวลาพิจารณาผลิตภัณฑ์การเงินที่จะมาทดแทนเงินฝากที่เหมาะสมกับตนและมีเวลาที่สถาบันจะเพิ่มและขยายความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
“เราได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรองรับการคุ้มครองเงินฝากที่จะเปลี่ยนผ่านการคุ้มครองในระดับ 1 ล้านบาท แต่เมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่จะคุ้มครองที่ 15 ล้านบาท ก็ทำให้ผู้ฝากและทุกคนสบายใจขึ้น”
แบงก์แกร่ง‘บีไอเอส’สูง17.5%
อย่างไรก็ตาม แม้จะลดการคุ้มครองเงินฝากที่ 1 ล้านบาท แต่มั่นใจว่า ไม่กระทบต่อความเชื่อมั่น เพราะขณะนี้ ระบบสถาบันการเงินมีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ เงินกองทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดย ณ วันที่ 31 มี.ค.2559 เงินกองทุนของสถาบันการเงินในระบบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการจัดสรรกำไร ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นเป็น 17.50% เทียบกับสิ้นปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 17.43%
ด้านสภาพคล่องสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 มี.ค.2559 การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรงอยู่ที่ 172.69% สูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดที่ 60% และเพิ่มขึ้น 10% ในแต่ละปี จนครบ 100% ในปี 2563 ขณะที่ เงินฝากและสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินในไตรมาสที่ 1 เติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 2.55% และ 3.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“สภาพคล่องในระบบสถาบันการเงินอยู่ในระดับสูง เกิดจาก การสะสมของสภาพคล่องของสถาบันการเงินเองจากการชะลอปล่อยสินเชื่อ 1-2 ปี เนื่องจาก เศรษฐกิจชะลอ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของสถาบันการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี”
คาด10ปีลดเงินส่งกองทุน
“สรสิทธิ์” บอกด้วยว่า สถาบันคุ้มครองเงินฝากอยู่ระหว่างการศึกษาระดับเงินกองทุนคุ้มครองเงินฝากที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่เท่าใด ถ้าถึงระดับที่วางเป้าหมายไว้ อาจจะมีการลดเก็บเงินเข้ากองทุน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับภาวะดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และลดภาระของสถาบันการเงิน
ปัจจุบันกองทุนคุ้มครองเงินฝากเก็บเงิน 0.01% ของยอดเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินพาณิชย์ 36 แห่ง จนเดือนมิ.ย. 2559 กองทุนคุ้มครองเงินฝากมีเงินกองทุนรวม 1.15 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นไตรมาส 1/2559 จำนวน 1,386.05 ล้านบาท ก่อนหน้านี้เงินไหลเข้ามากกว่านี้ เพราะมีการเก็บเข้ากองทุน 0.46% แต่ได้ลดเหลือ 0.01% เพราะรัฐบาลต้องการนำเงินโยกไปใช้หนี้กองทุนกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ)
“ระดับเงินกองทุนฯ ที่เหมาะสมคิดหลายแนวทาง ก่อนหน้านี้เคยประเมินว่า จะอยู่ที่ 4 แสนล้านบาท แต่ด้วยสถานะของสถาบันการเงินไทยที่แข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้เป้าหมายลดลง ผมเองประเมินว่า ถ้าคุ้มครอง 15 ล้านบาทต่อรายผู้ฝาก ต่อสถาบันการเงิน กองทุนฯ น่าจะอยู่ที่ 2 แสนล้านบาทจึงจะเหมาะสมผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังไปพิจารณาให้ละเอียด คาดว่าจะสรุปชัดเจนในช่วงปลายปี 2559 นี้”
แก้กม.เปิดทางระดมทุนด่วน
อย่างไรก็ตาม หากสรุปที่ 2 แสนล้านบาท ระดับเหมาะสมต้องสะสมเงินไปอีก 10 ปี แต่เมื่อถึงตอนนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอีกก็ได้ เพราะต้องอิงกับวงเงินคุ้มครองเงินฝาก และ แม้ว่า จะมีเงินกองทุนถึงระดับที่คาดว่า จะเพียงพอ แต่เราจำเป็นต้องมีแนวทางที่จะแบคอัพกรณีที่เราจำเป็นต้องใช้เงินจากปัญหาการปิดสถาบันการเงิน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปัญหาที่รวดเร็ว โดยการจัดหาสภาพคล่องได้อย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปจัดการปัญหา ซึ่งเราได้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากสามารถระดมทุนได้อย่างรวดเร็วทั้งในและต่างประเทศ จากเดิมเราจะต้องออกตราสารหนี้ ต้องผ่านการพิจารณาของก.ล.ต.ซึ่งต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
ขณะเดียวกัน เพื่อรองรับการจ่ายคืนเงินฝากแก่ผู้ฝากอย่างรวดเร็วและภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลนำระบบอี-เพย์เมนท์มาใช้ เราก็จำเป็นต้องพัฒนาระบบรองรับและแก้ไขกฎหมายที่ไม่จำเป็นให้ผู้ฝากเงินต้องมายื่นแสดงตัวว่าเป็นผู้ฝากเงิน แต่เราจะสามารถโอนเงินเข้าบัญชีผ่านระบบอี-เพย์เมนท์ได้ทันที
เขากล่าวทิ้งท้ายว่า แม้เราจะวางระบบคุ้มครองไว้รองรับกรณีการปิดสถาบันการเงิน แต่ด้วยจำนวนเงินกองทุนที่มีอยู่นั้น สามารถคุ้มครองเงินฝากได้เพียง 1-2 สถาบันการเงินขนาดเล็กๆเท่านั้น หากมีการปิดกิจการสถาบันการเงินขนาดใหญ่ จะต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะออกประกาศคุ้มครองเงินฝากทั้งหมด







