“เคจีไอ” เจาะไพรเวทเวลธ์ ใช้เทคโนโลยีดึงลูกค้า

“เคจีไอ” เจาะไพรเวทเวลธ์ ใช้เทคโนโลยีดึงลูกค้า

บล.เคจีตั้งเป้าหมายใน3-5 ปีเน้นเพิ่มความหลากหลายบริการ ชูบริหารเงินทุนส่วนบุคคล

การแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์ ส่งผลให้บล. ต้องปรับกลยุทธ์ เพื่อหนีการแข่งขันที่แรนรุนแรง โดยเลือกกระจายรายได้ไปในส่วนอื่นมากขึ้น ซึ่งธุรกิจที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นขณะนี้ คือการบริหารกองทุนส่วนบุคคล 

สมชาย กาญจนเพชรรัตน์ กรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่า ใน3-5 ปีข้างหน้า บริษัทจะมีความหลากหลายมากขึ้น เคจีไอมองไปที่ธุรกิจบริหารเงินทุนส่วนบุคคล เพราะมองว่าเป็นแนวธุรกิจที่จะมีการเติบโตสูงจากความมั่งคั่งของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น

“ก้าวต่อไปของเคจีไอ คือการเข้าไปบริหารกองทุนส่วนบุคคลให้กับลูกค้า เพราะในต่างประเทศได้รับความนิยมอย่างมาก แต่เมืองไทยมีช่องว่างอีกมาก แผนที่เราวางไว้คือธุรกิจการบริหารเงินทุนส่วนบุคคลจะเป็นหนึ่งในรายได้หลักในอนาคต”

ทั้งนี้ ทิศทางของลูกค้าในปัจจุบัน ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาบริหารเงินทุนมากขึ้น เพราะลูกค้าไม่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด การมีที่ปรึกษาที่ดีจะช่วยให้การลงทุนดีขึ้น และภาวะดอกเบี้ยต่ำยิ่งเป็นปัจจัยเร่ง ต้องหาวิธีการทำให้เงินงอกเงย เคจีไอมั่นใจว่าศักยภาพของบริษัทสามารถให้บริการได้

สาเหตุที่ทำให้เคจีไอต้องหาการให้บริการรูปแบบใหม่ๆตลอดเวลา เพราะภาวะอุตสาหกรรมหลักทรัพย์เป็นธุรกิจ ซันเซท รายได้ลดลง การแข่งขันค่าคอมมิชชั่นแข่งขันรุนแรง โบรกหน้าใหม่มีการลดราคา โบรกเกอร์รายเดิมก็ต้องแข่งเพื่อรักษาฐานลูกค้า ส่วนการแย่งชิงบุคลากรยังมีอยู่

สวนทางกับรายจ่ายนับวันยิ่งเพิ่มขึ้น ทั้งกฏเกณฑ์ของผู้กำกับดูแล ในด้านการตรวจสอบลูกค้าละเอียดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องของต้นทุนทั้งหมด โบรกเกอร์รายใดอิงกับรายได้จากการค้าหลักทรัพย์ จะได้รับผลกระทบ โบรกเกอร์หน้าใหม่จะกระทบมากที่สุด ถ้าหวังแค่รายได้ค่าคอมมิชชั่นไม่ขยายตัวก็จะขาดทุน 

ส่วนโบรกเกอร์ 10 อันดับแรก ส่วนใหญ่จะกระจายรายได้ค่อนข้างดี มีหลายฐานรายได้หลากหลาย ทั้งในด้านอนุพันธ์ และธุรกิจที่จะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ คือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และรายได้ประจำจากตราสารหนี้ รวมถึงธุรกิจด้านวาณิชธนกิจ ที่ไม่ใช่แค่นำบริษัทเข้าจดทะเบียน แต่ที่จะเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ทั้งการควบรวมกิจการ หรือการหาเงินทุน และธุรกิจที่อิงกับธนาคารน้อยลงโดยเฉพาะในเรื่อเงินกู้ เราเชื่อว่าบล.หน้าใหม่จะยังไม่พร้อม

ในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ไทยแม้จะแข่งกันดุเดือด แต่หากเทียบกับต่างประเทศจะพบว่าไทยยังดีกว่า ทำให้โบรกเกอร์ต่างประเทศยังสนใจเข้ามาลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งเราเชื่อว่าโบรกต่างชาติเขาจะมีรูปแบบใหม่มาให้บริการ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้เล่นรายเดิมต้องปรับตัว แต่หากโบรกต่างชาติเข้ามาก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกราย หากเขาไม่เข้าใจตลาดไทยก็อาจไม่ประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ทิศทางอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ในครึ่งปีหลังน่าจะสดใสกว่าครึ่งปีแรก ตามภาพของตลาดหุ้นที่ดีขึ้น จากไตรมาสแรกที่มูลค่าการวื้อขายปรับลดลง แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 เริ่มฟื้นตัว ทำให้ครึ่งปีหลังน่าจะดีขั้น และอาจจะผลักดันให้มูลค่าการซื้อขายสูงกว่าปีก่อนได้ และลุ้นว่ามูลค่าการซื้อขายในครึ่งปีหลังอาจจะแตะ 5 หมื่นล้านบาท

เป้าหมายในปีนี้ของ เคจีไอ จะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 3.8 % อันดับที่ 9 ของอุตสาหกรรมไว้ให้ได้ โดยปัจจุบันนักลงทุนรายบุคคลอยู่ที่ 70 % ของทั้งหมด ซึ่งทิศทางค่าคอมมิชชั่น ค่อยปรับลดลง ก็กระทบกับเคจีไอบ้างที่ต้องลดราคาให้กับลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องรักษาไว้ ภาวะตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมาเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องลดราคา ซึ่งเป้าหมายของเราจะรักษาฐานลูกค้ารายย่อยที่แท้จริง เพราะกลุ่มดังกล่าว ไม่ได้ต้องการราคาต่ำอย่างเดียวแต่ต้องการบริการด้วย โดยปัจจุบันมีบัญชีอยู่ที่ 4-5 หมื่นบัญชี เคลื่อนไหวเป็นประจำ 30-40 %

ทั้งนี้ในภาพรวมการกระจายรายได้ในขณะนี้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ สัดส่วนรายได้นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ไม่เกิน 50 % ส่วนที่เหลือจะกระจายตัว ทั้ง ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของบริษัท รวมไปถึงรายได้จากฟิกอินคัม และวาณิชธนกิจ นอกจากนี้เคจีไอมีฐานเงินทุนใหญ่มาก และปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ได้อีกจำนวนมาก โดยปัจจุบันปล่อยประมาณ 2,000 ล้านบาท สามารถปล่อยได้ 3-4 พันล้านได้อีกมาก

     ทิศทางของเคจีไอ นอกจากการเน้นบริการด้านกองทุนส่วนบุคคลที่กล่าวในข้างต้นแล้ว ต่อไปจะเน้นออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มขึ้น โดยมีระบบการซื้อขายของตัวเอง และพัฒนาให้ดีขึ้น และเครื่องมือใหม่ อย่างการซื้อขายอินเทอร์เน็ต และมีงานวิจัยเข้ามาช่วย รวมถึงโปรโมทสร้างฐานลูกค้าใหม่ สร้างโปรโมชั่นให้กับลูกค้าที่เทรดกับบริษัทจะมีการสะสมคะแนนให้ ส่วนงานด้านวาณิชธนกิจในปีนี้จะยังคึกคัก น่าจะมีไอพีโอที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 2-3 บริษัท  

       อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดหุ้นของปี 2559 เป็นปีที่เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อนที่ถือว่าเป็นจุดต่ำสุด โดยในครึ่งปีหลังมองทิศทางจะดีกว่าครึ่งปี แต่โอกาสจะฟื้นตัวเร็วยังไม่มี ไม่มีปัจัจยอะไรกระตุ้นให้ฟื้นตัวเร็ว จุดต่ำสุดของเราผ่านตลาดหุ้นไทยอิงกับการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก หากรัฐบาลสามารถเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะรถไฟฟ้า 3 สายที่จะออกมาประมูล จะช่วยกระตุ้นการเติบโตได้

ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยยังผันผวนตามตลาดโลก แต่จะผันผวนน้อยกว่าประเทศอื่น เมื่อก่อนตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวมากกว่า แต่ตอนนี้ลดลง ต่างประเทศลดความสนใจในประทเศนานแล้ว และถอนการลงทุนไปมาก ขณะที่ต่างประเทศก็เริ่มไม่ดี ยังไม่เห็นปัจจัยอะไรที่จะทำให้เอาเงินออกจากประเทศไทย ดังนั้นบล.เคจีไอคาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย สิ้นปีที่น่าจะอยู่ที่ 1,500 - 1,540 จุด