กสิกรฯชี้ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง มีสัญญาณฟื้นตัว

"ศูนย์วิจัยกสิกรฯ"มองธุรกิจวัสดุก่อสร้างมีสัญญาณฟื้นตัว หลังรัฐเร่งผลักดันการลงทุน ชี้ตลาดอสังหาฯต่างจังหวัดยังน่าห่วง เหตุมีสัญญาณการขายช้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยแพร่บทวิเคราะห์เกี่ยวกับธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ปี 59 เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา มีผลให้กลุ่มผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และคาดว่าจะส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์กลับมาลงทุนในโครงการใหม่มากขึ้น รวมไปถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่นับเป็นโครงการที่มีความสำคัญและมีมูลค่าการลงทุนสูง อันจะส่งผลต่อเนื่องให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างในประเทศปี 59 มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างในปี 59 คาดว่าน่าจะมีแนวโน้มค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยมีแรงหนุนจากการที่รัฐบาลมีนโยบายในด้านต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคมยังเป็นกลุ่มที่ภาครัฐพยายามจะเร่งรัดการลงทุน แต่มีโครงการขนาดกลางและขนาดเล็ก อาทิ โครงการปรับปรุงถนนในส่วนท้องถิ่น โครงการก่อสร้างฝายทดน้ำ และการซ่อมแซมอาคาร สถานที่ราชการ เป็นต้น ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อร้านค้าวัสดุก่อสร้างในท้องถิ่นที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการใช้ในโครงการก่อสร้างของภาครัฐ อย่างไรก็ดี ตลาดวัสดุก่อสร้างที่เน้นกลุ่มผู้บริโภครายย่อย อาจจะยังไม่สามารถปรับตัวได้ดีนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวสู่ระดับศักยภาพ ทำให้ผู้บริโภคอาจจะยังชะลอการใช้จ่าย
นอกจากนี้ ในกลุ่มเกษตรกร ซึ่งนับเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญของร้านค้าวัสดุก่อสร้างท้องถิ่น แต่เนื่องจากปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดังเดิม มีผลทำให้ความต้องการซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างชะลอลง สำหรับการเคลื่อนไหวของปัจจัยแวดล้อมของธุรกิจที่ควรจับตามองในปี 59 ได้แก่
1. การเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทิศทางการเติบโตของวัสดุก่อสร้างในไทยค่อนข้างมาก ซึ่งภาพรวมของภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 59 น่าจะยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แม้มีปัจจัยบวกจากมาตรการของภาครัฐที่ออกมาสนับสนุนอย่างต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 59 ไม่ว่าจะเป็นมาตรการการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน-ค่าจดจำนอง (29 ตุลาคม 2558-28 เมษายน 2559) รวมถึงการลดหย่อนภาษีจากการซื้อบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2559) แต่ในครึ่งหลังของปี 2559 ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งอาจกระทบความเชื่อมั่นของผู้ที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัย และอาจกระทบต่อเนื่องไปถึงยอดขาย ตลอดจนการตัดสินใจเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการ จึงนับเป็นปัจจัยท้าทายสำหรับธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างในปี 2559
ทั้งนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากยังคงมีสัญญาณการขายที่ช้า ซัพพลายมีมากกว่าดีมานด์ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลกระทบเชิงลบจากการตกต่ำของราคาสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม ในกรณีของบางจังหวัดที่ยังมีอนาคตที่ดีน่าจะได้แก่ จังหวัดที่เป็นประตูการค้าตามแนวชายแดน พื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองท่องเที่ยวตากอากาศ เช่น พัทยา หัวหิน และเมืองอุตสาหกรรม เช่น มาบตาพุด โดยเป็นไปได้ว่าการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลตามแนวเส้นทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รวมถึงโครงการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อื่นๆเป็นหลัก น่าจะยังคงเป็นกลไกสำคัญในขับเคลื่อนของภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะการลงทุนดังกล่าวของภาครัฐจะส่งผลให้มีการเปิดพื้นที่การลงทุนใหม่ๆตามมา
2. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างภายในประเทศในปี 59 ที่นับเป็นช่วงเริ่มต้นของการลงทุนครั้งใหญ่ของประเทศ หลัง ครม.เห็นชอบแผนการลงทุนโครงการเร่งด่วน 20 โครงการ ในวงเงิน 1.796 ล้านล้านบาท รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางอากาศและทางน้ำ อันน่าจะส่งผลดีต่อภาคเอกชนซึ่งจะขยายการพัฒนาไปตามโครงข่ายการพัฒนาของภาครัฐ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการลงทุนในการก่อสร้างของภาครัฐในปี 59 น่าจะมีมูลค่า 692,600 – 708,500 ล้านบาท ซึ่งแม้จะขยายตัวในอัตราชะลอลงที่ 10.0 - 12.5% จากฐานเดิมในปี 58 แต่เป็นมูลค่าการก่อสร้างที่สูงในรอบหลายปีที่ผ่านมา -ณะที่ความต้องการใช้เหล็กก่อสร้างในปี 59 น่าจะมีปริมาณ 8.42 - 8.60 ล้านตัน ขยายตัว 2.3 – 4.5% จากที่เติบโต 2.0% ในปี 58
นอกจากนี้ ยังมี “โครงการบ้านประชารัฐ” หนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จึงแน่นอนว่าธุรกิจวัสดุก่อสร้างเช่น ปูนซีเมนต์ และเหล็ก เป็นต้น น่าจะเป็นธุรกิจกลุ่มแรกๆที่จะได้อานิสงส์โดยตรง และมีความเป็นไปได้ว่าราคาวัสดุก่อสร้างอาจมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น เหล็ก ซีเมนต์ ปูน และทราย ซึ่งสินค้าดังกล่าวจะปรับขึ้นเฉลี่ 2-3% ต่อปี แต่หากความต้องการใช้เพิ่มอาจจะปรับเพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย
หากมองให้ลึกลงไปอีกก็จะพบว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางราง น่าจะทำให้เกิดการขยายตัวของเมืองและสร้างโอกาสทางธุรกิจทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการตามแนวเส้นทางที่มีรถไฟพาดผ่าน โดยเฉพาะบริเวณจุดตัดของรถไฟฟ้าของแต่ละเส้นทางในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นย่านธุรกิจและที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ในอนาคต ก็ย่อมจะส่งผลดีต่อความต้องการวัสดุก่อสร้างให้เพิ่มขึ้นตามมาด้วย ส่วนโครงการรถไฟรางคู่และโครงการรถไฟความเร็วสูงก็อาจจะกระตุ้นให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับสู่ภูมิภาคได้ระดับหนึ่งตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะภาคอีสาน ทั้งนี้หากรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ตามกรอบเวลา ก็ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งในส่วนภาคประชาชนและธุรกิจภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 59 มีแนวโน้มการขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าการขยายตัวใน 2 ปีที่ผ่านมาแม้จะอยู่ภายใต้ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกยังตกต่ำ และสถานการณ์ความรุนแรงของปัญหาภัยแล้งในช่วงครึ่งปีแรก ที่จะส่งผลให้การฟื้นตัวของภาคเกษตร ภาคการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องยังเป็นไปอย่างช้าๆ โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่เหลือจะยังคงต้องพึ่งพิงการขยายตัวของภาครัฐและการขยายตัวของการท่องเที่ยว ซึ่งแม้ว่าตลาดวัสดุก่อสร้างอาจจะยังไม่มีมาตรการกระตุ้นตลาดอย่างชัดเจน
แต่เนื่องจากตลาดวัสดุก่อสร้างอิงกับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งการที่หลายโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐมีความคืบหน้าที่ชัดเจนอย่างต่อเนื่องในปี 59 ทำให้การขยายตัวของตลาดวัสดุก่อสร้างยังน่าจะสามารถเติบโตได้ตามไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ประกอบการทุกรายจะสามารถเติบโตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ค้ารายกลาง-รายย่อยที่กระจายตัวตามภูมิภาค เนื่องจากกำลังซื้อในต่างจังหวัดที่ยังไม่แข็งแกร่งมากพอจากกลุ่มผู้บริโภครายย่อย







