พาณิชย์ชง 'นายกฯ' ฟันข้าวจีทูจีเก๊

พาณิชย์ชง 'นายกฯ' ฟันข้าวจีทูจีเก๊

"พาณิชย์" ส่งหนังสือ "นายกรัฐมนตรี"ลงนามคำสั่งเรียกค่าเสียหายข้าวจีทูจีกับนักการเมือง-ข้าราชการ รวม 6 คนประมาณ 2 หมื่นล้าน

กรมการค้าต่างประเทศ ได้ทำหนังสือเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาการลงนามในหนังสือบังคับทางปกครองให้นักการเมืองและข้าราชการรวมทั้งหมด 6 คน ชดใช้ค่าเสียหาย จากกรณีการขายข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จำนวน 4 สัญญา ปริมาณ 6.2 ล้านตันแล้ว หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ทำตอบหนังสือกลับมาแล้วว่า ผู้ที่มีอำนาจลงนาม คือ นายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การเสนอนายกฯ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย หากนายกรัฐมนตรีเห็นชอบ ก็สามารถพิจารณาลงนามในคำสั่งทางปกครองได้เลย หรือจะพิจารณามอบหมายให้ รมว.พาณิชย์ เป็นผู้ลงนาม หรือจะลงนามทั้ง 2 คนก็ได้ แล้วแต่การพิจารณาของนายกรัฐมนตรี

"คิดว่าไม่น่าจะนาน เพราะนายกฯ ก็เร่งรัดเรื่องนี้อยู่” นางดวงพร กล่าว

หากมีการลงนามแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ที่ต้องชดใช้ทั้ง 6 คน เพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายตามที่กระทรวงการคลังคำนวณมา โดยการส่งหนังสือบังคับทางปกครองจะมีอายุความ 2 ปี หรือนับจากที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลมา หรือครบกำหนดภายในเดือนก.พ. 2560 ซึ่งจะต้องส่งหนังสือบังคับทางปกครองไปให้ผู้ที่ต้องชดใช้ เมื่อผู้ชดใช้ได้รับหนังสือแล้วก็สามารถใช้ช่องทางตามกฎหมายยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลได้

ชี้กรณียิ่งลักษณ์คลังเรียกค่าเสียหาย

กรณีการเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความเสียหายต่อ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขั้นตอนจะคล้ายกับการเรียกค่าเสียหายกรณีการขายข้าวจีทูจี แต่กระทรวงการคลังจะเป็นผู้รับผิดชอบกรณีนี้ ในฐานะผู้ได้รับความเสียหาย

การเรียกค่าเสียหายการขายจีทูจีมันสำปะหลัง ซึ่งพบว่ามีลักษณะการดำเนินการแบบเดียวกันกับการขายข้าวจีทูจี ขณะนี้ป.ป.ช.กำลังอยู่ระหว่างการไต่สวน ยังไม่มีการชี้มูลความผิด แต่หากมีการชี้มูลความผิดแล้ว การดำเนินการขั้นต่อไป ก็จะมีขั้นตอนเดินไปแบบเดียวกันกับข้าวจีทูจีเช่นกัน

รายงานข่าวแจ้งว่า นักการเมืองและข้าราชการ 6 คนที่จะถูกบังคับทางปกครองชดใช้ค่าเสียหาย จากการขายข้าวจีทูจี มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ได้แก่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ

ค่าเสียหายละเมิด 2 หมื่นล้าน

คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิด ได้คำนวณความเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดในโครงการขายข้าวรัฐต่อรัฐให้กับจีน แต่ไม่ได้มีการขายจริง ส่งผลให้รัฐเสียหาย ได้คำนวณความรับผิดออกมาเป็นรายๆที่ต้องชดใช้ตามส่วนร่วมในสัญญาแต่ละฉบับหรืออำนาจในการสั่งการกระทำละเมิด โดยนายบุญทรง มูลค่าชดใช้ความเสียหาย 1.7 พันล้านบาท นายภูมิ มูลค่าชดใช้ความเสียหาย 2.2 พันล้านบาท พ.ต.นพ.วีระวุฒิ มูลค่าชดใช้ความเสียหาย 4 พันล้านบาท นายมนัส มูลค่าชดใช้ความเสียหาย 4 พันล้านบาท นายทิฆัมพร มูลค่าชดใช้ความเสียหาย 4 พันล้านบาทและนายอัครพงศ์มูลค่าชดใช้ความเสียหาย 4 พันล้านบาท รวมค่าเสียหายที่ต้องชดใช้ 2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ความรับผิดชอบชดใช้ความเสียหายที่ไม่เท่ากันระหว่างนายบุญทรงกับนายภูมิ นั้นเกิดจากการมีส่วนร่วมในแต่ละสัญญา ขณะที่พ.ต.นพ.วีระวุฒิและข้าราชการอีก 3 คนนั้นคณะกรรมการรับผิดทางละเมิดคำนวณเท่ากันเพราะเห็นว่ามีส่วนร่วมทุกสัญญา

ขั้นตอนเรียกชดเชยความเสียหาย

แหล่งข่าวสำนักนายกรัฐมนตรี อธิบายขั้นตอนการเรียกรับผิดทางละเมิดว่า หลังจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ส่งหนังสือมาถึงนายกฯเพื่อออกคำสั่งทางปกครอง ทางนายกฯพิจารณาแล้ว หากเห็นชอบก็ลงนามในคำสั่งทางปกครองให้บุคคลที่กระทำละเมิดดังกล่าวส่งไปอาจจะเป็นโดยไปรษณีย์ ให้ตามที่อยู่ของแต่ละบุคคล หลังจากนั้นภายใน 15-30 วัน หากบุคคลเหล่านั้นยังไม่มาจ่ายเสียหายตามที่ว่า ทางนายกฯจะส่งหนังสือไปอีกครั้งหนึ่งเป็นรอบที่ 2 โดยให้เวลาอีก 7 วันมาในการมาจ่ายค่าเสียหาย หากผ่านพ้น 7 วันแล้วยังไม่มาจ่าย ทางนายกฯจะอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ส่งหนังสือไปถึงธนาคาร กรมที่ดิน ในการยึดอายัดทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากได้รับหนังสือหรือคำสั่งชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ทั้ง 6 คนสามารถใช้สิทธิทางศาล โดยการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองดังกล่าวต่อศาลได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือให้ชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งต้องไปดำเนินการต่อในศาลปกครอง หากศาลประทับรับฟ้องไว้

คลังนัด“ป.ป.ช.”ขอข้อมูลเพิ่มคดี“ยิ่งลักษณ์”

นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดเปิดเผยความคืบหน้าการพิจารณาคดีที่ป.ป.ช.ระบุนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ละเลยความเสียหายโครงการจำนำข้าวว่า คณะกรรมการฯได้มีการประชุมเพื่อพิจารณากรณีดังกล่าวมาแล้วประมาณ 9 ครั้ง แต่ยังไม่มีข้อสรุป

เนื่องจากยังรอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเตรียมเชิญผู้แทนจากป.ป.ช.มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย โดยคณะกรรมการฯจะมีการประชุมในครั้งต่อไปภายในสัปดาห์หน้า ส่วนข้อสรุปจะได้เมื่อไรนั้น ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งมา

เปิดประมูลข้าวยกคลังครั้งแรก

นางดวงพร กล่าวถึงการระบายข้าวว่า ได้ชี้แจงหลักเกณฑ์เงื่อนไข (ทีโออาร์) ระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลเป็นการทั่วไปและเข้าอุตสาหกรรมปริมาณ 1.63 ล้านตัน ซึ่งเป็นคลังข้าวที่มีข้าวเกรดพี เอ บี ซี และมีข้าวผิดชนิด และผิดประเภท ปะปนกันอยู่ โดยแบ่งเป็นข้าวที่สามารถใช้เป็นการทั่วไป 7.3 แสนตัน และข้าวเข้าอุตสาหกรรม 9 แสนตันนั้น ได้วางหลักเกณฑ์ให้ประมูลยกคลัง ซึ่งผู้ประมูลทั้งเป็นการทั่วไปและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่จะประมูลข้าวในคลังที่มีข้าวผิดชนิดและข้าวเกรดพี เอ บี ซี ปนอยู่ในคลังเดียวกันต้องเสนอราคาเฉลี่ยเข้ามา

“ถือเป็นครั้งแรกที่กรมได้เปิดให้มีการประมูลข้าวแบบทั่วไปและเข้าอุตสาหกรรมพร้อมกัน เพราะข้าวปนกันอยู่ ซึ่งถ้าเป็นโกดังที่มีทั้งข้าวดี ข้าวเสีย ปนกันก็ต้องยื่นประมูลแบบยกคลัง แต่ผู้ที่ยื่นประมูลต้องมีแผนส่งมาให้พิจารณาด้วยว่าจะนำข้าวเสียไปทำอะไร หรือจะขายต่อให้กับอุตสาหกรรมไหน เพื่อจะได้ติดตามกลุ่มข้าวเสียให้เข้าอุตสาหกรรมได้จริง เพราะในการขนย้ายข้าว หน่วยงานเจ้าของข้าว ทั้งองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จะมีการตรวจสอบการขนย้าย เส้นทางขนย้าย จนถึงเข้าโรงงานไว้อยู่แล้ว”

สำหรับราคาที่จะพิจารณาขายครั้งนี้ เนื่องจากเป็นข้าวปนกัน ได้มีสูตรในการคำนวณอยู่แล้ว ทั้งราคาของข้าวดีและข้าวเสีย ซึ่งกรมฯจะมีราคากลางของข้าวแต่ละคลังอยู่ หากยื่นซื้อราคาต่ำกว่าราคากลางที่กำหนดก็จะไม่พิจารณาขายให้

คาดข้าวระบายหมดปีหน้า

นางดวงพร กล่าวว่า ส่วนการเปิดประมูลข้าวในช่วงเดียวล็อตใหญ่ถึง 2 ล็อต คือ ให้ผู้ที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศมายื่นเสนอราคา 2.18 ล้านตัน และการประมูลทั่วไปและเข้าอุตสาหกรรมอีก 1.63 ล้านตัน เนื่องจากเป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะช่วงนี้ข้าวนาปรังหมดแล้ว