'อุสรา'ชี้อังกฤษออกจากอียู ไทยกระทบน้อย

'อุสรา'ชี้อังกฤษออกจากอียู ไทยกระทบน้อย

"นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส" ชี้อังกฤษออกจากอียู ไทยกระทบน้อย เหตุปริมาณการค้าเพียง 1.4% เท่านั้น ชี้ค่าเงินริงกิต-รูเปียะ-วอน กระทบหนักสุด

นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า ผลกระทบจากอังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หรือ Brexit จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอังกฤษขยายตัวลดลงร้อยละ 0.7 เหลือร้อยละ 1.2 จากเดิมที่ร้อยละ 1.9 และกระทบเศรษฐกิจของอียูขยายตัวลดลงร้อยละ 0.2 เหลือ ร้อยละ 1.2 จากเดิมร้อยละ 1.4

ส่วนผลกระทบในภูมิภาคเอเชีย ค่อนข้างน้อย เพราะปริมาณการค้าเอเชียกับอังกฤษเพียงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับปริมาณการค้าทั้งหมด ขณะที่การค้าไทยกระทบน้อยที่สุด มีปริมาณการค้าเพียงร้อยละ 1.4 เท่านั้น รวมถึงค่าเงินบาท ก็ได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่นในเอเชีย โดยจะมี 3 ประเทศ ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ สกุลเงินริงกิต มาเลเซีย , รูเปียะของอินโดนีเซีย และ เงินวอนของเกาหลีใต้ ขณะที่เงินบาท จะอ่อนค่าลงน้อยที่สุด คาดว่าไตรมาส 3 เฉลี่ยจะอยู่ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผลกระทบของ Brexit จะเป็นเพียงระยะสั้น

ผลกระทบหลักอยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินปอนด์และยูโรจะอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยค่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 1.23 ปอนด์ต่อดอลลาร์สหรัฐ และเงินยูโรจะอยู่ 1.03 ยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากตลาดตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่กิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ตลาดความผันผวนต่อเนื่องไปหลายสัปดาห์

ทั้งนี้ จากการตื่นตระหนกของตลาด ทำให้ค่าเงินเยนได้รับประโยชน์จากการถอนตัวของอังกฤษ เนื่องจากนักลงทุนโยกเงิน มาลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินเยน เป็นสกุลเงินที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในโลก คาดว่า เงินเยนจะแข็งค่าขึ้นสูงถึง 95 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นเข้ามาแทรกแซงไม่ให้ค่าเงินเยนแข็งค่าเร็วจนเกินไป ขณะที่ธนาคารกลางของสหรัฐ หรือ เฟด จะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เพราะการที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 0 ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง ซึ่งหลังจากนี้ต้องติดตามผลการเจรจากระบวนการกฎหมาย เพราะการที่อังกฤษจะออกจากยุโรปผลตามกฎหมายจะใช้เวลา 2 ปี