ถอดโมเดลประชารัฐ‘เทสโก้ โลตัส’ปั้นเกษตรกรมืออาชีพ

นโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ”
มุ่งสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความได้เปรียบของ “เครือข่าย” เอื้อต่อการผสานพลัง!!
ชาคริต ดิเรกวัฒนชัย รองประธานกรรมการ แผนกสื่อสารองค์กรและความยั่งยืน เทสโก้ โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวว่า ได้วางโมเดล “เทสโก้ โลตัส ประชารัฐ ร่วมใจ” ประกอบด้วยโครงการต่างๆ ที่มุ่งสนับสนุนประชาชนในภาคการเกษตรและเอสเอ็มอีของไทย ใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่ โครงการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรโดยตรงจากเกษตรกร (Direct Sourcing) และโครงการให้การสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและโอท็อป
"ประชารัฐเกิดขึ้นนานแล้วแต่ไม่มีใครจับต้องให้เป็นรูปร่าง เมื่อรัฐบาลวางยุทธศาสตร์ชัดเจน เอกชนก็พร้อมจะขับเคลื่อนต่อได้ทันที เพราะเดิมการซื้อสินค้าจากเกษตรกร เป็นสิ่งที่ทำอยู่แล้ว พอมีรัฐมาเป็น Third Party ก็ทำงานง่ายขึ้น"
สำหรับ “เทสโก้ โลตัส ประชารัฐ ร่วมใจ” วางแผนดำเนินการ 22 โปรเจค โดยจะใช้ “ความเชี่ยวชาญ” ทางด้านการค้าปลีก หรือ “การขาย” ซึ่งเทสโก้ โลตัส เชี่ยวชาญตั้งแต่การจัดซื้อ พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ขายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบัน ดำเนินการแล้วกว่า 10 โครงการ สำเร็จและจับต้องได้เป็น “โชว์เคส” คือ โครงการปลูกผักกลางนา ทุ่งกุลาฯ ยิ้มได้ ณ วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด
“เดิมทุ่งกุลาฯ ขายข้าวให้เทสโก้ โลตัส ได้อย่างเดียว แต่ปี 2558 เริ่มขายข้าวไม่ได้ เพราะประสบภัยแล้งต่อเนื่องมาถึงปีนี้ พอปลูกข้าวไม่ได้ ก็ไม่ทำอะไร เผอิญผู้นำในพื้นที่ซึ่งเป็นพระหัวก้าวหน้า ได้หารือกับกรมวิชาการเกษตร บอกว่าที่ดินในประเทศไทยทุกที่ปลูกอะไรก็ได้หมดขึ้นอยู่กับการพัฒนาดิน”
เป็นที่มาและความร่วมมือของ 3 ฝ่าย กรมวิชาการเกษตร (ภาครัฐ) วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช (ภาคประชาชน) และเทสโก้ โลตัส (ภาคเอกชน) สนับสนุนให้ชาวนาในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ หันมาปลูกผักแทนทนาปรัง โดยเริ่มทดลองนำที่ดิน 13 ไร่ ของ 30 ครัวเรือน มาแบ่งแปลง ปรับหน้าดินและสภาพดิน “ปลูกผักบุ้ง” โดยเทสโก้ โลตัส รับซื้อผลผลิตทั้งหมดเพื่อจำหน่ายในเครือข่ายสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เบื้องต้นผลิตผลที่รับซื้อวันละประมาณ 300 กิโลกรัม ทำให้แต่ละครัวเรือนมีรายได้เพิ่ม 5,000 บาท ต่อรอบการเก็บเกี่ยวทุก 2 เดือน หรือ เฉลี่ยเดือนละ 2,500 บาท
“เลือกผักบุ้ง เพราะมีรอบสั้น 2-3 เดือน ขณะนี้กำลังทดลองคะน้า กว้างตุ้ง และศึกษาความเป็นไปได้ในการปลูกผลไม้ที่มีมูลค่าสูงในอนาคต เช่น เมลอน”
ที่ผ่านมา เทสโก้ โลตัส ยังวางต้นแบบโครงการ “เทศกาลของดีชายแดนใต้” ที่เทสโก้ โลตัส พลัส มอลล์ ศรีนครินทร์ ซึ่งปัญหาโอท็อปภาคใต้แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ในเรื่องของ “ตลาด” จึงต้องนำเสนอสินค้าออกนอกพื้นที่ เป็นหนึ่งในแนวทางเพิ่มมูลค่าสินค้าโอท็อปในท้องถิ่น “ต้องไปขายต่างถิ่น” ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นสินค้าธรรมดา การที่ของดีชายแดนใต้มาขายในกรุงเทพฯ สะท้อนด้วยว่า ยิ่งออกมาขายไกลท้องถิ่นสินค้าจะยิ่งขายดีมากขึ้น!!
“เทสโก้ โลตัส มีจุดแข็ง ปริมาณลูกค้าหมุนเวียน สิ่งที่ต้องทำมากขึ้น คือ ชวนลูกค้าที่มาเดินให้ช่วยกันซื้อสินค้าโอท็อป เอสเอ็มอี เหล่านี้”
ชาคริต กล่าวต่อว่า นับจากนี้ เทสโก้ โลตัส ต้องทำงานร่วมกับเกษตรกรทุกภาคส่วนมากขึ้น เพราะมีความต้องการสินค้ามากขึ้นรองรับการบริโภคจำนวนมาก และไม่ต้องการให้เกิดของเสีย ล่าสุด อยู่ระหว่างทดลองเลี้ยงไก่งวง คาดจะเห็นผลลัพธ์ในช่วงปลายปีทันเทศกาล รองรับดีมานด์ของลูกค้าต่างชาติที่มีจำนวนมากในเมืองไทย
“สิ่งที่เทสโก้ โลตัส ได้ประโยชน์โดยตรงในเชิงธุรกิจ คือ มีปริมาณสินค้าตามความต้องการรองรับลูกค้า และเป็นการสร้างความตื่นเต้นให้ลูกค้าจากการที่มีสินค้าใหม่ สด ตลอดเวลา เชื่อว่า ลูกค้าจะรู้สึกดีหากได้ซื้อสินค้าจากเกษตรกร นอกจากได้ของดี ยังมีส่วนช่วยเหลือเกษตรกรได้โดยตรง”
ในปีนี้ เทสโก้ โลตัส ตั้งเป้าหมายซื้อผักและผลไม้จากเกษตรกรไทยรวม 1.5 แสนตัน ซึ่งการทำงานร่วมกับเกษตรกรโดยเฉพาะ “ผลไม้” ทำให้สถานการณ์ “เทกระจาด” ทุเรียน มังคุด เงาะ น้อยลง เพราะมีแหล่งรับซื้อหรือช่องทางกระจายสินค้ารองรับทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันการทำงานร่วมกันจะมีความชัดเจนว่าเกษตรกร “ปลูกตามใจตัวเองไม่ได้”
การประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน แต่ละฝ่ายต้องเน้นความเชี่ยวชาญของตนเอง “ผู้ประกอบการค้าปลีก” เก่งขายของ ประเมินยอดขาย สามารถช่วยกำหนดผลผลิต ไม่ผลิตเกินความต้องการเพราะจะกลายเป็นของเสีย ซึ่งการผลิตน้อย ขายได้หมด จะได้ราคาดีกว่า!!
นับเป็นความท้าทาย ของทั้งเทสโก้ โลตัส และเกษตรกร ในการสร้างมาตรฐานและยกระดับธุรกิจร่วมกัน เกษตรกรต้องเข้าใจ “มาตรฐาน” ที่อาจเป็นเรื่อง “จุกจิก” ขณะที่ “ลูกค้า” มีทางเลือกมากมาย ไม่พอใจก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินซื้อ ฉะนั้น ต้องเคารพและซื่อสัตย์ต่อคำสั่งซื้อ นับเป็นการสร้างมาตรฐานเกษตรกรยุคใหม่ ความเข้าใจต่อการตลาด
“ถ้าเราไม่เรื่องมาก ก็จะขายของไม่ได้ เพราะไม่มีมาตรฐาน แต่ระยะยาว จะได้เกษตรกรมืออาชีพ ฉะนั้นต้องยึดหลัก คนกินหรือผู้บริโภค ไม่ใช่จะขายอย่างเดียว”
ผู้ค้าปลีกเพียงทำหน้าที่ผู้ประสานความต้องการของต้นทางและปลายทางให้บรรจบกันด้วยความพึงพอใจสูงสุด
ว่าด้วยกฎดีมานด์-ซัพพลาย
หัวใจสำคัญของความร่วมมือ!! เทสโก้ โลตัส ในฐานะภาคเอกชน มุ่งให้ความรู้ความเข้าใจในหลัก “ดีมานด์-ซัพพลาย” หรือ ความต้องการซื้อ-ขาย และความสามารถในการผลิต เรียกว่าเป็นการ “บริหารความคาดหวังและความเคยชินของเกษตรกร” ทำอย่างไรให้เกษตรกรปลูกผักตามความต้องการของตลาดมากกว่าความเคยชิน!! ยกตัวอย่าง เทสโก้ โลตัส ต้องการซื้อเพียง 10 กิโลกรัม แต่กลับปลูก 20 กิโลกรัม ก็ขายได้แค่ 10 กิโลกรัมเท่านั้น
สิ่งที่เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับเกษตรกรและเป็นปัญหาใหญ่ในห่วงโซ่การผลิต คือ “การผลิตตามใจ” และ “ผลิตตามความรู้สึก” จะเห็นว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบริหารความคาดหวังของเกษตรกรเป็นลำดับแรกก่อนเข้าสู่หลักการ “ดีมานด์-ซัพพลาย” พื้นฐานของธุรกิจ
ไม่เฉพาะในเชิงปริมาณ แต่ในเรื่องของการขนส่ง บางครั้งเป็นปัญหาเส้นผมบังภูเขา แม้เกษตรกรจะมีความรู้และเชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกแต่อาจจะหลงลืมเรื่องอื่นๆ เช่น การขนส่ง ทำให้เกิดของเสียจากการวางทับ เช่น ผักบุ้งรับมา 100% ขายได้เพียง 70% อีก 20-30% “เละ” เป็นโจทย์ในการออกแบบพาเลทให้สามารถรองรับการขนส่งสินค้าเกษตรแต่ละชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ต้องสร้างโมเดลง่ายๆ ให้ความรู้เกษตรกรว่า ปลูกมากไม่ได้หมายความว่าจะได้มาก!! สอนให้คิดต้นทุนก่อนราคา”
อย่างไรก็ตาม การทำงานร่วมกับท้องถิ่น เริ่มแรกต้องหา “ผู้นำในพื้นที่” หรือ “หัวหน้ากลุ่มเกษตรกรนั้นๆ” ให้เจอ เพื่อถ่ายทอดความคิดผ่านแกนนำทางความคิดเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้การทำงานร่วมกันง่ายและราบรื่น
จากนั้น สามารถสานต่อองค์ความรู้ด้านต่างๆ ที่จำเป็นในเชิงธุรกิจ ทั้งด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การจัดจำหน่าย การขยายตลาด







