เกมชนะ“เจ มาร์ท” ผนึกซิงเกอร์เร่งโตค้าปลีก

ใช้เวลา 3 เดือนจบดีลเทคโอเวอร์ซิงเกอร์ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” แห่ง “เจ มาร์ท” ฉายภาพ “จิ๊กซอว์ใหม่” Synergy 3 ธุรกิจ สยายอาณาจักรค้าปลีก
จาก “ธุรกิจห้องแถว” จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน กลายเป็นเจ้าของ “ธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ” ส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในแง่ค้าปลีก (รีเทล) ภายในเวลา 27 ปี สำหรับ บมจ.เจ มาร์ท หรือ JMART ภายใต้การนำของ 2 ผู้ร่วมก่อตั้ง “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ยุวดี พงษ์อัชฌา” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
นอกจากธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ปัจจุบันยังรุกสู่ ธุรกิจติดตามหนี้ ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่า ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเช่าซื้อส่วนบุคคล โดยแต่ละธุรกิจถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆของฐานลูกค้ารีเทล (ค้าปลีก)
“ธุรกิจติดตามหนี้ เรามีมูลค่าหนี้ที่บริหารมากที่สุด ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าขายมือถือ เราเป็นที่ 1 ในแง่ของรีเทลขายมือถือมากที่สุดซึ่งในธุรกิจที่ทำจะเห็นว่าเป็นที่ 1” อดิศักดิ์ เผย
ล่าสุดเมื่อเมื่อกลางปี 2558 “กลุ่มเจ มาร์ท” ยังฮุบธุรกิจ “ซิงเกอร์” (SINGER) จำหน่ายสินค้าเงินผ่อน อันดับต้นๆในไทยมาครองได้สำเร็จ โดยจบดีลภายในเวลา 3 เดือน
ด้วยการประกาศซื้อหุ้น SINGER กว่า 67 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.99% มูลค่า 945 ล้านบาท จากกลุ่ม SINGER (THAILAND) B.V. ของสหรัฐอเมริกา บริษัทแม่ของซิงเกอร์ประเทศไทย และทำให้ “เจ มาร์ท” กลายเป็น “ผู้ถือหุ้นใหญ่” ของ “ซิงเกอร์ประเทศไทย”
ถือเป็นอีก “จิ๊กซอว์สำคัญ” ในการรุกสู่ธุรกิจ“รีเทล” เติมเต็มให้อาณาจักร “เจ มาร์ท” โดยเฉพาะการได้มาซึ่ง “ฐานข้อมูลลูกค้าต่างจังหวัด” จำนวนมหาศาล เป็นการเชื่อมต่อฐานลูกค้ากับ “ธุรกิจเดิม” และ “ธุรกิจใหม่” ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างลงตัว
"SINGER โดนใจผม 2 อย่าง คือ ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับรีเทล และ ธุรกิจเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน" เป้าหมายต้องการธุรกิจเกี่ยวกับรีเทล ซึ่งจุดเด่นของซิงเกอร์คือมีฐานลูกค้าอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งลงไปถึงระดับอำเภอและหมู่บ้าน สอดคล้องกับธุรกิจของกลุ่ม “เจมาร์ท” ที่ลูกค้าหลักคือกลุ่มรีเทลในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และตามจังหวัดใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขายมือถือ ,ติดตามหนี้ , เช่าพื้นที่ "
ซีอีโอ เจ มาร์ท สำทับว่า ซิงเกอร์ยังไปสวยได้กว่านี้ โดยปัจจุบันกำลังจะ “ดึงศักยภาพ” ของซิงเกอร์ขึ้นมาใหม่ โดยนับจากนี้อีก 6 เดือน จะเห็นภาพธุรกิจที่ชัดเจนของซิงเกอร์
และเมื่อครบ 1 ปีจากนี้ จะได้เห็นโฉมใหม่ขององค์กร 100 ปีแห่งนี้
"จากเมื่อก่อนเป็นบริษัทโบราณไม่มีแม่ทัพคุมด้านการคิด แต่พอบริษัทเข้าไปเป็นแม่ทัพและเคลียร์ใหม่หมด ตรงไหนสร้างรายได้ทำ ปรับค่าคอมมิชชั่นเพิ่ม เราเข้าไปนั่งได้ 3 เดือน หน้าที่ต้องทำตอนนี้คือ เมื่อต้นไม้มีหนอนชอนไช เราก็ต้องใช้ยาฆ่าแมลง กิ่งไหนตายต้องตัดทิ้ง และใส่ปุ๋ย”
โดยเจ้าตัวบอกว่า..เกมธุรกิจต่อไปจะเป็นเกมของการ Synergy (ผนึกกำลัง) ของแต่ละธุรกิจในกลุ่มอย่างแท้จริง โดยจะเห็นผลชัดในระยะไม่เกิน 5 ปีจากนี้
หากย้อนไปดูอดีตตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใช้เวลา 7 ปี ในการเติบโต 8 เท่า ทว่า จากต่อไปจะใช้เวลาน้อยลงเพียง 5 ปี (2559-2563) เติบโตอีก “10 เท่า” จากเงินลงทุน 4,000 ล้านบาท ฉะนั้น ผลตอบแทนจากกการลงทุนจะเป็น 40,000 ล้านบาท ภายในปี 2563 เขาสำทับความมั่นใจให้ผู้ถือหุ้น
ก่อนจะวาดภาพแต่ละธุรกิจให้ฟังว่า
กลุ่มเจ มาร์ท มีธุรกิจของ “เจ มาร์ท” ที่ดูในค้าปลีกเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ แต่ละปีมียอดขาย “มากกว่าล้านเครื่อง” มีฐานลูกค้าสูง ซึ่งธุรกิจดังกล่าวจะยังเป็น“ตัวหลัก”ให้ทั้งในแง่“รายได้-กำไร” ซึ่งจุดแข็งคือบริษัทมีความเข้มแข็งทั้งประสบการณ์และทีมงาน ในแง่นโยบายยังขยายธุรกิจต่อเนื่อง
ส่วน JMT เป็นบริษัทติดตามและบริหารหนี้ ตามนโยบายบริษัทเป็นคนซื้อหนี้มาบริหาร และปัจจุบันมีหนี้บริหารสูงสุดเกือบ “แสนล้านบาท” ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนปีนี้ใช้เงินลงทุน 4,000 ล้านบาท ในการซื้อหนี้คอนซูเมอร์ (ผู้บริโภค)
ทว่า ใน JMT มีบริษัทลูกที่ซ้อนอยู่และมีความน่าสนใจ คือ “บริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ “การเงิน” โดยบริษัทเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ 7-8 เดือนแล้ว และได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ล่าสุดมีฐานลูกค้าราว 40,000 ราย โดยเริ่มจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าของเจมาร์ทเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือภายใต้บริการ “เจ มันนี่” (J-Money)
แต่ที่ “เจ มาร์ท” สนใจ คือ อยากเข้าไปในธุรกิจ “ฟินเทคไฟแนนซ์” โดยจะเป็นการให้บริการลูกค้าผ่านช่องทางแอพพลิเคชั่น ซึ่งลูกค้าสามารถใช้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นของบริษัทได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจ่าย ค่าน้ำ ,ไฟ ,โทรศัพท์ เป็นต้น
และนี่คือธุรกิจตัวใหม่ของกลุ่ม “เจ มาร์ท” โดยโมเดลธุรกิจดังกล่าวบริษัทซื้อซอฟท์แวร์จากประเทศญี่ปุ่นราว 600 ล้านบาท ซึ่งซอฟท์แวร์ตัวนี้จะกลายเป็นเครื่องจักรในการขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มฟินเทค
นอกจากในเรื่อง payment (ชำระค่าสินค้าและบริการ) และยังให้บริการ “สินเชื่อส่วนบุคคล” (Personal loan) ผ่านทางแอพพลิเคชั่นดังกล่าวได้ รวมทั้งพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติผ่านช่องทางดังกล่าว โดยลูกค้าจะเป็นคนกรอกข้อมูลต่างๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น ซึ่งโมเดลจะคล้าย “อิออน+ไอโฟน” ธุรกิจการเงินเริ่มจะไม่มีขีดจำกัด ซึ่งบริษัทจะทำหน้าที่เหมือนสถาบันการเงินขนาดเล็กๆ
“เป็นโมเดลธุกิจที่ประเทศญี่ปุ่นมีมาหลายปีแล้ว เรานำมาโมดิฟายด์ใช้ให้เข้ากับสังคมไทย ในญี่ปุ่นเรียก personal loan แบบหนึ่ง ธุรกิจดังกล่าวจะมาขับเคลื่อนโดยเจ มาร์ทขายมือถือ และให้ลูกค้าใช้วงเงินผ่อนจ่ายผ่านเจมันนีโดยไม่ต้องใช้แบงก์อื่นทำให้”
เขาระบุว่า ธุรกิจการเงินจะเปิดตัวใน “ครึ่งปีหลัง” โดยในปีนี้จะเป็นการลงทุนก่อน ยังหวังผลอะไรไม่ได้แต่ปีหน้า (2560) จะเริ่มเห็นผลสะท้อนจากการเติบโตธุรกิจ “ก้าวกระโดด”
ในปี 2559 คาดว่า “เจ มาร์ท” เติบโตราว 20% แต่ในปี 2560 เป็นต้นไปความเร็วของการเติบโตจะกลายเป็น 30-40% จากเงินลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องของการ Synergy และใช้ศักยภาพของกลุ่มช่วยกัน
แล้วอย่างนี้ การซื้อหุ้น SINGER ที่ทุกคนบอกว่า “ซื้อหุ้นในราคาแพงเกินไป” (ซื้อไปได้ไง) แพงก็แพง
แต่ว่าวันนี้แพงต่อไปมันจะถูกมาก ไม่เชื่อคุณลองคิดตามผมนะ ซิงเกอร์เป็นบริษัทที่มีฐานลูกค้าอยู่ในต่างจังหวัดมากสุด ส่วนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ฐานลูกค้าจะอยู่ในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล
นี่คือ สิ่งที่มีมูลค่า “มหาศาล” เจ้าตัวย้ำ
“เพียงแค่ผมบอกว่าให้พนักงานซิงเกอร์ไปหาลูกค้ามาสมัครเป็นสมาชิกในแอพพลิเคชั่น หากได้รับการอนุมัติผมจะจ่ายให้ 50 บาท ลองคิดดูหาได้ 100 คน ก็จะได้เงิน 5,000 บาท แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะได้รับการพิจารณาอนุมัติ แต่เราคิดว่าเป้าหมายเราแค่ 5 ล้านคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกแอพพลิเคชั่น จากประชากร 60 ล้านคน คิดเป็น 10% เท่านั้น ฉะนั้นมองว่าตลาดยังมีอีกกว้าง โดยเรามีเป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจการเงิน (ไมโครไฟแนนซ์) แต่ใน 5 ปี ขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ถือว่าแฮปปี้แล้ว"
เกมนี้กำลังจะเริ่มต้น ต่อไปน่าจะสนุก..!!
ส่วน “บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท” ทำธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าสำหรับธุรกิจค้าปลีกโทรศัพท์มือถือ ภายใต้ชื่อ IT Junction และโครงการ The JAS ซึ่งเป็นการพัฒนาอสังหาฯ และบริหารพื้นที่ในรูปแบบศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) ในอนาคตจะนำธุรกิจเจมันนี่มานำเสนอในพื้นที่เช่า เพราะว่าสามารถขายสินค้าผ่านการผ่อนได้
ต่อไปไม่ต้องถือเงินสดจ่ายเงินแล้ว ลูกค้าใช้ผ่านแอพพลิเคชั่นของเราได้เพียงการสแกนบาร์โค้ดเท่านั้น หรือ คิวอาร์โค้ด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทุกธุรกิจมีความเสี่ยง จึงต้องบริหารความเสี่ยงและมีการตรวจสอบความเสี่ยงโดยจะอนุมัติให้วงเงินลูกค้าจากประสบการณ์ ลูกค้าไม่ดีก็ไม่อนุมัติเป้าหมายเราแค่ลูกค้า 5 ล้านราย แต่ถ้าโชคไม่ดีได้โจรมาเป็นลูกค้าถือว่าเสียหายไม่มาก แต่อย่าลืมว่าเรามีบริษัทลูก JMT เป็นคนติดตามหนี้
ฉะนั้นบริษัทจะมีฐานข้อมูลลูกค้าทั้งดีและไม่ดี และยังเป็นสมาชิกของ “บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือ NCB” ฉะนั้นเราจะสามารถตรวจสอบของมูล “เครดิตบูโร” ได้ คือสิ่งที่เราได้เปรียบและไม่กลัวคนเป็นหนี้ เพราะเรายังไปซื้อหนี้มาบริหาร
“การมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 4 บริษัท เป็นสัญญาณบอกว่า เราพร้อมที่จะเบ่ง แต่ต้องรอดูว่าจะเป็นตอนไหน แต่สิ่งที่บอกได้คือเราลงทุนไปแล้วทั้งใส่ปุ๋ยบำรุงทุกอย่าง ต่อไปก็เป็นการเก็บเกี่ยวในอีก 5 ปีข้างหน้า”
ซีอีโอเจ มาร์ท ยังให้มุมมองเรื่องการ Synergy ธุรกิจว่า เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อคน 2 คน ต่อสู้กับคนๆ เดียว ฝั่งที่มี 2 คน ย่อมมีโอกาสชนะมากกว่าคนเดียวแต่หากบังเอิญโชคร้ายมากว่า 2 คนโง่ทั้งคู่ ไปต่อสู้กับคนฉลาดต่อให้มี 2 คนก็แพ้คนฉลาดคนเดียว
แต่หากกลับกัน 2 คนฉลาดทั้งคู่ยังไงก็สู้ชนะและชนะแบบถล่มทลายด้วย “เจ มาร์ท” ไม่ได้เป็นการ Synergy ของคน 2 คน แต่เป็นการ Synergy ของ 4 คน คือ เรามีบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 4 บริษัท (JMART,JMT , J และ SINGER)
หากเราสู้กับคู่แข่งในตลาดคิดว่าเราจะชนะไหม?
ฉะนั้น การ Synergy เป็นการเสริมความแข็งแกร่งทำให้เราได้เปรียบคู่แข่ง
“เกมบางเกมมันจำเป็นต้องชนะแบบรวดเร็ว บางเกมมันต้องใช้เวลา 3-5 ปี ถึงจะชนะ” ยกตัวอย่าง ดูทีมเลสเตอร์ซิตี้ (แชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษปีล่าสุด) ใช้เวลา 6 ปี ถึงได้แชมป์ จากทีมท้ายตารางแต่ชนะได้ขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง ทีมเลสเตอร์ฯยังทำได้ เจมาร์ทก็ต้องได้เหมือนกัน”
ส่วน Benchmark (เทียบมาตรฐาน) คือ ธุรกิจรีเทล ต้องใจเย็นๆ และรอได้ ปัจจุบันธุรกิจพึ่งอัพสเกลจากรุ่นเล็กไปสู่รุ่นใหญ่ เราจะ “ต่อยข้ามรุ่นแต่แรกไม่ได้” เพราะยังไม่พร้อม แต่จะค่อยๆขยับอันดับ ถ้าก้าวเร็วไปอาจตกบันไดได้ ฉะนั้นต้องใช้ความระมัดระวัง แต่มองว่าเราน่าจะได้เปรียบคือ “ทีมงาน” ซึ่งตนเองเป็นคนกำหนดนโยบายของกลุ่มเอง หากมีหลายคนเป็นคนกำหนดนโยบายอาจจะไปคนละทิศทาง
“ผมเป็นแม่ทัพเป็นคนกำหนดแผนการรบเอง หากรบแพ้ก็ต้องโทษตัวเองคนเดียว”
อดิศักดิ์ ยังบอกอีกว่า แม้ว่าได้ซิงเกอร์เข้ามาแต่ยังถือว่า “จิ๊กซอว์” ไม่ครบถ้วน แม้จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว และสิ่งที่มองต่อไปที่จะเข้ามาเป็นจิ๊กซอว์ที่มาขับเคลื่อนธุรกิจ
คือ “ธุรกิจออนไลน์”
ล่าสุดทีมงานพึ่งกลับมาจากการไปดูตลาดออนไลน์ที่จีน
"สำหรับจิ๊กซอว์สู่ธุรกิจรีเทลใน 5 ปี ขอเพียงเท่านี้ก่อน แต่หากอีก 10 ปีข้างหน้า แค่นี้คงไม่พอซึ่งตรงนั้นคงจะไม่ใช้รุ่นผมแล้ว เจมาร์ทยุคต่อไปจำเป็นต้องอาศัยมุมมองและแนวคิดของทายาทผู้บริหารรุ่นใหม่ฉบับ Gen-Y “เอกชัย สุขุมวิทยา” เพื่อรุกธุรกิจออนไลน์"
-----------------------------------------
ธุรกิจห้องแถว สู่ อาณาจักรแตะหมื่นล.
กว่าจะก้าวสู่ผู้นำในวงการค้าขายโทรศัพท์มือถือเมืองไทย และสร้างการยอมรับในชื่อ “เจ มาร์ท” ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา”และ“ยุวดี พงษ์อัชฌา” สองสามีภรรยามนุษย์เงินเดือนผู้คิดการใหญ่จับมือกันลาออกจากบริษัทในปี 2531 และลงทุน 2 ล้านบาท เปิดธุรกิจห้องแถวจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าระบบเงินผ่อน ภายใต้ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด
หลังจากสองสามีภรรยาลองผิดลองถูกบริหารธุรกิจแบบล้มลุกคลุกคลานตลอดเส้นทาง จากการหาเงินทุนหมุนเวียนด้วยการกู้เงิน หรือจำนองบ้าน ซึ่งเป็นทางออกเพียงไม่กี่ทางของธุรกิจเงินผ่อนที่ต้องการขยายกิจการ หากแต่ในที่สุดเจ มาร์ท สามารถเดินทางถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในวันที่ “อิออน” นำบริการขายสินค้าเงินผ่อนบุกตลาดไทย
โดย เจ มาร์ท จับมือกับอิออน พร้อมเริ่มต้นธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านระบบเงินสด ระบบผ่อนชำระ และระบบขายส่ง ในปี 2535 จนกระทั่งธุรกิจฟื้นคืนกำไร และจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสร้างการเติบโตแบบติดปีกได้ในปี 2552
27 ปีผ่านมานี้ เจ มาร์ทมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ทุกๆ 5 ปี แต่ที่เปลี่ยนภาพเลย คือปี 2540 ในปีนั้นไม่มีใครลงทุน แต่สำหรับอดิศักดิ์เขาเทเงินหมดกระเป๋าเดินหน้าเปิดสาขาอย่างเดียว และนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลง
“การบริหารธุรกิจที่ผ่านมาประสบความสำเร็จมากกว่าที่คิดไว้ ตอนแรกของแค่อยู่ได้ก็พอใจแล้ว ไม่ต้องการอะไรมาก แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ทำให้ตัวเอง แต่ทำให้กับพนักงานกว่า 2,000 คน และนั่นคือ หน้าที่ผมที่ต้องรับผิดชอบ หากรวมพนักงานของซิงเกอร์ด้วยก็อีก 3,000 คน รวมเป็นพนักงานกว่า 5,000 คน ถือเป็นองค์กรที่ใหญ่มาก”
เป้าหมายที่ตั้งไว้ต้องทำให้ได้ เสียอะไรก็เสียได้ แต่ห้ามเสียงชื่อและเกียรติ ..!!
-------------------------------
อาวุธรบชนะต้อง “อยากเป็นที่ 1”
ใจต้องมาก่อนชัยชนะ..!!
อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา”ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เจ มาร์ท” ยึดหลักดำเนินธุรกิจจำหน่ายมือถือที่รุนแรง จากผู้เล่นหน้าเก่าและใหม่
โดยสำหรับเขาอาวุธที่จะรบชนะ คือ การอยากที่จะเป็นที่ 1
“ผมไม่ชอบการเป็นที่ 2” ดังนั้น เกมการรบของเราคือรบยังไงให้ชนะ โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องชนะภายในพรุ่งนี้ ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาจึงใช้เวลาสั่งสมขุมกำลังทรัพยากรหลากหลาย เพื่อรอวันท้ารบกับคนที่เราไม่เคยคิดว่าจะชนะเขาได้ และนั่นแหละคือเป้าหมายของ กลุ่มเจ มาร์ท”
ขณะที่ดีลการซื้อกิจการ (Mergers & Acquisitions -M&A) ไม่ถูกปิดกั้น
"ผมไม่เคยปิดประตูบ้าน Welcome ทุกคน ซึ่งการขยายธุรกิจต้องมีส่วนผสมสร้างเอง และ M&A แต่ละปีจะมีงบในการทำ M&A อยู่ในงบลงทุน 7,000 ล้านบาท
ที่ผ่านมาคนข้างนอกมองเราเป็นแค่คนขายมือถือ แต่ต่อจากนี้อยากให้คิดใหม่ว่า บริษัทเติบโตมาได้ยังไง ซึ่งเราเติบโตขึ้นมาใน Formula (สูตร) ของเราเอง และในอีก 5 ปีข้างหน้า อยากให้คนอื่นมองว่า “เจมาร์ท กรุ๊ป” เติบโตมาจากการวางแผนด้วยสูตรของตัวเองที่ไม่เหมือนใคร...”




