รมว.อุตฯ สั่งยุติสัมปทานเหมืองแร่ทองคำทั่วปท.

รมว.อุตฯ สั่งยุติสัมปทานเหมืองแร่ทองคำทั่วปท.

"รมว.อุตสาหกรรม" ประกาศยุติสัมปทานเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศ หลังเกิดความขัดแย้งกับประชาชนในพื้นที่

นางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวันนี้ว่า ทั้ง 4 กระทรวง ประกอบด้วยกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีมติยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ รวมถึงคำขอต่ออายุประทานบัตรด้วย หลังจากในช่วงที่ผ่านมาประชาชนได้มีการร้องเรียนจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซท จำกัด (มหาชน) บริเวณรอยต่อของจ.พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก

ส่วนในกรณีของบริษัท อัคราฯเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของพนักงาน และเพื่อเตรียมการเลิกประกอบกิจการ จึงเห็นควรให้ต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมไปจนถึงสิ้นปี 2559 เพื่อให้สามารถนำแร่ที่เหลืออยู่ไปใช้ประโยชน์ได้ พร้อมทั้งให้บริษัทอัคราฯเร่งดำเนินการปิดเหมืองและฟื้นฟูพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองให้เป็นไปตามเงื่อนไขการอนุญาต

“ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการลงพื้นที่และตรวจสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ พบว่า มีประชาชนจำนวนมากที่มีโลหะหนักอยู่ในร่างกาย ซึ่งถือว่าเป็นอันตราย และในปัจจุบันเชื่อว่าสำหรับประเทศไทยยังคงไม่มีความจำเป็นมากนัก และปัจจุบันแม้ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนว่าปัญหาข้อร้องเรียนและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนเกิดจากการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัคราหรือไม่ แต่เพื่อประโยชน์ของสังคมและประชาชนส่วนรวม และแก้ปัญหาความแตกแยกของประชาชนในชุมชน ประกอบกับมีคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำ จึงมีมติสัมปทานเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศ”นางอรรชกา กล่าว

ทั้งนี้ ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชานและบรรเทาปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังสิ้นสุดการประกอบกิจการเหมืองแร่และโลหกรรมของบริษัทอัคราฯ คือ กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำกับดูแลการปิดเหมืองและฟื้นฟูพื้นที่ กระทรวงสาธารณสุข ดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง กระทรวงแรงงานดูแลพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ

สำหรับการช่วยเหลือพนักงานของบริษัท อัคราฯ นอกจากระทรวงอุตสาหกรรมจะประสานงานกับกระทรวงแรงานในการให้ความช่วยเหลือแล้ว จะประสานผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรให้นำเงินกองทุนพัฒนาท้องถิ่นซึ่งมีเงินทั้งสิ้น 45 ล้านบาท มาให้การช่วยเหลือพนักงานที่ได้รับผลกระทบด้วย