'ซื้อกิจการ' แผนเร่งโต TPBI

'ยอดขาย 5 ปี ขยับเท่าตัว' อนาคตนี้ 'สมศักดิ์ บริสุทธนะกุล' ผู้ร่วมก่อตั้ง บมจ.ทีพีบีไอ วางเดิมพันสูง ด้วยการ 'แตกไลน์' ตะลุย 'ซื้อกิจการ'
'5 ปี (2559-2563) ยอดขายเติบโตเท่าตัว ด้วยกลยุทธ์ซื้อกิจการ (M&A)' ของ 'สมศักดิ์ บริสุทธนะกุล' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีพีบีไอ หรือ TPBI ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครบวงจรระดับโลก ยืนยันแผนเติบโตยั่งยืนกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week'
ความสำเร็จขั้นแรกของ 'ทีพีบีไอ' สะท้อนผ่านราคาหุ้น TPBI ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 32.41% จากราคาหุ้นไอพีโอ 10.80 บาทต่อหุ้น หลังเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันแรกเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายเฉลี่ย 15.90 บาท
เมื่อ 30 ปีก่อน 'สามพี่น้องตะกูลบริสุทธนะกุล' (วิชัย-สมศักดิ์-สมชัย) เจ้าของวลี 'เราจะไม่เป็นแค่ผู้ผลิตถุงพลาสติก' ตัดสินใจก่อตั้ง บมจ.ทีพีบีไอ โดยเริ่มต้นทำธุรกิจครั้งแรก ด้วยการนำเศษพลาสติกมาหลอมใหม่เป็นเม็ดพลาสติก (รีไซเคิล) ตอนนั้นมีพนักงานทำงานเพียง 5 คนเท่านั้น ปัจจุบันถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 73.91%
'ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร' เล่าว่า ก่อนจะก่อตั้งบริษัทแห่งนี้ หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะคุรุศาสตร์อุตสาหกรรม เทคโนโลยีพระจอมเก้าพระนครเหนือ มีโอกาสเข้าไปทำงานในโรงงานออกแบบและสร้างเครื่องจักรสร้างทาง ส่วนใหญ่เป็นงานประมูลของกรมทางหลวง จากนั้นลาออกมาทำงานใน บริษัท พลาสเตอร์ยา เทนโซพล๊าส จำกัด
สุดท้ายทำได้ไม่นานน้องชาย 'สมชัย บริสุทธนะกุล' ซึ่งดำเนินธุรกิจนำเข้าเศษพลาสติกเพื่อผลิตออกมาเป็นเม็ด (รีไซเคิล) ชักชวนผมและพี่ชายให้มาช่วยทำงาน ทำงานได้ 3 ปี บริษัทตัดสินใจซื้อกิจการผู้ผลิตถุงพลาสติกรายใหญ่ของโลกสัญชาติสิงคโปร์
การเข้าทำรายการในครั้งนั้น ไม่ได้ใช้เงินซื้อกิจการ แต่บริษัทนำเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งในเมืองไทย เพื่อผลิตถุงพลาสติกส่งเป็นค่าเครื่องจักรให้กับเจ้าของเดิม ปัจจุบันโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิต 6,400 ตันต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตเพียง 300 ตันต่อปี
ปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.บรรจุภัณฑ์ทั่วไป (general packaging) คือ ถุงพลาสติกหูหิ้วในโมเดิร์นเทรด ซุปเปอร์มาร์เก็ต และถุงขยะ เป็นต้น ซึ่งบรรจุภัณฑ์ดังกล่าวเป็น 'ธุรกิจหลัก' ของบริษัท คิดเป็นสัดส่วน 69% และยังเป็นธุรกิจที่สร้างเงินหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมักเติบโตตามประชากรที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5%
2.บรรจุภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Package) คือ พลาสติกที่ร้านสะดวกใช้ห่ออาหาร เช่น แซนวิส ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีอัตราการเติบโตใน 'ตัวเลขสองหลัก' ปัจจุบันสร้างรายได้ในสัดส่วน 20% 3. ธุรกิจอื่นๆ เช่น 'กระดาษ-ไบโอพลาสติก-คอมปาวด์' คิดเป็นสัดส่วน 11%
'อีก 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้บรรจุภัณฑ์ทั่วไปจะอยู่ระดับ 40% บรรจุภัณฑ์มูลค่าสูง 30% และธุรกิจอื่นๆ 30%'
๐แตกไลน์สู่ 'ธุรกิจใกล้เคียง'
'สมศักดิ์' เล่าว่า ในอดีตบริษัทเติบโตมาจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกเป็นแผ่นฟิล์ม แต่เป้าหมายการทำธุรกิจในอนาคต คือ 'ไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่แพ็คเกจจิ้งที่เป็นพลาสติกแบบฟิล์ม' แต่จะ 'แตกไลน์' ออกไปในธุรกิจใกล้เคียง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร เพราะทุกคนต้องกินอาหารทุกวัน สอดคล้องกับนโยบายของเมืองไทยที่ต้องการเป็นครัวโลก
'ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปสู่กระดาษแล้ว แต่ยังไม่พอ เพราะตามฝันอะไรที่เป็นบรรจุภัณฑ์เราจะเข้าไปลงทุน'
ขณะเดียวกันยังมีแผนจะ 'ขยายตลาดส่งออก' ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ไปในแถบอาเซียนและแอฟริกา นอกเหนือจากตลาดหลักที่เน้นส่งออกไปยังตลาดออสเตรเลีย ,อังกฤษ ,สหรัฐอเมริกา ,ญี่ปุ่น ,นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส ถือเป็นการขยายตัว เพื่อรองรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของโลกที่มีแนวโน้มเติบโตอีกมาก
แรกเริ่มไม่ค่อยสนใจตลาดแถบเอเซียนเท่าไรนัก แต่ตอนนี้เริ่มหันกลับมามองแล้ว หลังพบว่า มีอัตราการเติบโตมากขึ้น ล่าสุดกำลังมองหาโอกาสการทำธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติม ปัจจุบันส่งออกไปกลุ่ม CLMV คิดเป็นสัดส่วน 1% เท่านั้น เน้นจำหน่ายในประเทศลาว และกัมพูชา
สำหรับโมเดลการเข้าไปทำงานในกลุ่ม CLMV คือ 1.ส่งสินค้าไปจำหน่าย 2.ตั้งฐานการผลิต และหาพันธมิตรร่วมทุน ปัจจุบันกำลังศึกษาตลาดพม่า และเวียดนาม คาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า จะเห็นบริษัทเข้าไปตั้งฐานการผลิตในต่างประเทศ
แต่ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า อาจเห็นบริษัท “ซื้อกิจการ” ในธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ที่บริษัทยังไม่เคยผลิต เช่น แพ็คเกจจิ้งที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภค เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม และผงซักฟอก เป็นต้น ปัจจุบันบริษัททำเฉพาะแพ็คเกจจิ้งบริโภค
ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทต่างประเทศในแถบอาเซียน เบื้องต้นอาจเข้าไปซื้อหุ้นบางส่วน เพื่อให้เกิดความร่วมมือก่อนเป็นอันดับแรก
'ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 65% และในประเทศ 35%'
๐ รักษาการเติบโตแผนปี 2559
'ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร' บอกว่า แผนธุรกิจในปี 2559 บริษัทจะรักษาอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 380 ล้านบาท และรายได้ 4,805 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นพัฒนาสินค้า และเพิ่มการขายใน “กลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า” ตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น รวมถึงตอบสนองลูกค้าที่นิยมผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบรีไซเคิล
ส่วนตัวมองว่า ผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน และผลิตภัณฑ์ฟิล์มลามิเนตและฟิล์มแบริเออร์ สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทอาหารสดและอาหารสำเร็จรูป อาจมีความต้องการใช้สูงขึ้น จากความต้องการใช้เติบโตตามอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งในและต่างประเทศที่ขยายตัว นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นเทรนด์ของผลิตภัณฑ์ที่ TPBI ให้ความสำคัญมากขึ้น
เมื่อถามถึง 'จุดเด่น' ขององค์กร นายใหญ่ ขยายความว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้จับมือกับพันธมิตรประเทศไต้หวัน เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมไบโอพลาสติก ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีความโดดเด่นในแง่ของเทคโนโลยีไบโอพลาสติก ซึ่งการจับมือดังกล่าว ถือว่าเป็นการเตรียมตัวของบริษัท หากเทรนด์ไบโอพลาสติกมาบริษัทพร้อมลงมือทำทันที
'ไบโอพลาสติกเป็นพลาสติกที่ย่อยสลายง่ายกว่าพลาสติกแบบเดิม ดังนั้นหากกฎหมายออกมาให้ใช้ไบโอพลาสติกแทนพลาสติกแบบเดิมเราพร้อมลุย'
นอกจากนั้นเมื่อปี 2556 บริษัทยังเข้าไปสู่ธุรกิจ แพ็คเกจจิ้งที่ไม่ใช่พลาสติก นั่นคือธุรกิจกระดาษ เช่น ถ้วยกระดาษ และชามกระดาษ จากเดิมที่ไม่เคยทำธุรกิจดังกล่าว ซึ่งเรามีพันธมิตรเป็นหุ้นส่วนภายในประเทศ ถือเป็นธุรกิจใหม่สำหรับบริษัท โดยเริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆ ยอดขายเฉลี่ย 1-2 ล้านบาท โดยใน 2-3 ปีแรก ธุรกิจยังไม่มี “กำไร” แต่เชื่อว่าจะทยอยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันธุรกิจดังกล่าวยังไม่มีกำไร และมีสัดส่วนรายได้น้อยมาก ซึ่งบริษัทคงต้องเข้าไปลงทุนต่อเนื่อง ที่สำคัญต้องเข้าไปทำความรู้จักและเตรียมตัวกับอุตสาหกรรมดังกล่าว เพื่อเป็นการเปิดโอกาสและขยายธุรกิจในอนาคต
เขา เล่าต่อว่า บริษัทมีความโดดเด่นในแง่ของ 'กำไรสุทธิ' หากย้อนดูจากงบการเงินตั้งแต่ปี 2557 นั่นเป็นพราะที่ผ่านมา มีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทถุงหูหิ้วและถุงขยะ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้หลักของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังบริษัทนำเม็ดพลาสติก 'คอมปาวด์' (Compounding) มาใช้ ด้วยการรีไซเคิลเศษพลาสติกใช้แล้ว ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของพันธมิตรประเทศเยอรมัน
โดยโรงหลอมที่นำเศษเม็ดพลาสติก และเศษพลาสติกกลับมาใช้ใหม่จะผลิตในนามบริษัท ทีจีอาร์ที รีไซเคิล เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของTPBI ถือหุ้นอยู่ 30% และ TPBI ถือหุ้น 40% ส่วนที่เหลืออีก 30% ถือหุ้นในนามบุคคลอื่น
ทั้งนี้เฟสแรกจะเปิดดำเนินการในช่วงไตรมาส 2/2559 โดยจะมีกำลังการผลิต 600 ตันต่อเดือน คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนได้เฉลี่ย 20-30 ล้านบาทต่อปี และอนาคตจะมีการขยายเฟสสองเพิ่มเติม เพราะว่าแต่ละเดือนใช้เม็ดพลาสติก 3,000-4,000 ตันต่อเดือน แต่หากเรารีไซเคิลเกินจากที่บริษัทใช้ ก็สามารถนำไปขายโรงงานอื่นๆได้
นอกจากนี้ยังเดินแผนขยายการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ไม่ว่าจะเป็นถุงที่มีลายพิมพ์สวยงาม ลายพิมพ์สินค้าในรูปภาพที่เหมือนจริง และบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหาร ซึ่งสินค้าดังกล่าวจัดอยู่ในเกรดเอที่มีการผลิตซับซ้อน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปากท้องและความปลอดภัย
ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกครบวงจรรายใหญ่ในไทย มีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 64,920 ตันต่อปี จากฐานการผลิต 2 แห่ง คือ โรงงานผลิตถุงพลาสติกหูหิ้ว ถุงขยะและฟิล์ม กำลังผลิตอยู่ที่ 12,840 ตัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และโรงงานจังหวัดระยอง เน้นผลิตสินค้าจำนวนมาก เพื่อส่งให้กับลูกค้ารายใหญ่ เช่น ประเทศอเมริกา กลุ่มประเทศอียู ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และไทย โดยมีกำลังการผลิต 52,080 ตันต่อปี







