สุวิทย์ In Action บนทางสองแพร่ง

ถลำมาเป็น“รมช.พาณิชย์” สุวิทย์ เมษินทรีย์ วิบากปัญหาท้าทาย บนทางสองแพร่ง แก้ปมเฉพาะหน้าตีคู่วาดอนาคตประเทศ กับคำสบประมาทนั่งบนหอคอยงาช้าง
“ทฤษฎี” กับ “ปฏิบัติ” มักเป็นเส้นขนาน ที่ไม่อาจบรรจบ ...!!
คำกล่าวนี้ เป็นความท้าทายของเหล่า “นักทฤษฎีนิยม” ทั้งหลาย เมื่อถึงเวลาที่จะต้องลงมาคลุกกับปัญหาในฐานะ “นักปฏิบัติ”
ขณะที่นักทฤษฎีผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ ภาษาพูดที่ว่าฟังยากแล้ว “ความเข้าใจ”ของผู้คนต่อสิ่งที่เขาสื่อสาร
ยังยากยิ่งกว่า....!!
คำสบประมาททั้งหลายเหล่านี้ น่าจะถึงหู “สุวิทย์ เมษินทรีย์” อดีตผู้อำนวยการสถาบัน Sasin Institute for Global Affairs (SIGA) นักทฤษฎีตัวยง ที่่ปัจจุบันมานั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มานั่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มีหรือที่ “ศิษย์ก้นกุฏิ” เช่นเขา จะไม่ถูกขอตัวมาช่วยงานสมคิด (ลูกศิษย์สมคิด จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ -NIDA และสมคิด พาเขาไปฝากเป็นลูกศิษย์ของ ศ.ฟิลิป คอตเลอร์ นักการตลาดชื่อดัง)
ย้อนกลับไปในสมัยรัฐบาลทักษิณ “สุวิทย์” คนนี้ยังตาม สมคิด (รองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น) มานั่งเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ และที่ปรึกษา มาแล้ว
การเข้าสู่สังเวียนการเมือง จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ของเขา
ทว่า หนนี้ โจทย์ใหญ่ของเขา จะต้องแปลงความคิดความอ่านที่เฉียบคมไม่เพียงเขียนในตำราให้คนอ่าน แต่ต้องแปลงมาสู่การปฏิบัติ เป็นผลงานของรัฐบาล ให้ได้
นั่นเพราะเขามีตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ค้ำคอ
ขณะที่การแก้ปมปัญหาประเทศ “ซับซ้อน” กว่าเดิม ทั้งการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่เป็นปัญหาระยะยาว อาทิ การเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศ ในฐานะที่เขานั่งเป็นเลขาธิการ คณะทำงานสานพลังประชารัฐ ทั้ง 12 คณะ โมเดลที่ให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทสำคัญในการนำเสนอแนวทางขับเคลื่อนประเทศในด้านต่างๆ ,การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
การแก้ปัญหาระยะยาวเหล่านี้ ยังต้องดำเนินการคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาปากท้อง ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้า หลังเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว เผชิญปัญหาภัยแล้ง ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว
กลายเป็น “ทางสองแพร่ง” ที่เขาต้องหา “สมดุลในทางปฏิบัติ” ให้เจอ
สุวิทย์ เปิดใจกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ยอมรับถึงแรงกดดันดังกล่าว โดยระบุว่า ใครมาเป็นรัฐมนตรีในยุคนี้ ไม่พ้นโดนวิจารณ์ เพราะเดินบนทางสองแพร่งที่ว่านี้
“งานปฏิรูปเป็นโจทย์แรกที่เข้ามาทำ ไม่ทำก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกหาว่าปฏิวัติมาแล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง"
ขณะที่การปฏิรูปประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป ไทยเคยสร้างความมั่งคั่งจากรายได้ส่งออก และการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แต่ขณะนี้ “เสน่ห์การค้าและการลงทุนของไทย”ลดลงไปมาก ไทยไม่ได้เนื้อหอม โดดเด่นเหมือนในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านมา
เมื่อมีดาวดวงใหม่ในอาเซียน ที่สดใหม่ อย่าง เมียนมา (เพิ่งได้ประธานาธิบดีพลเรือน) ลาว กัมพูชา และเวียดนาม รวมถึงอินโดนีเซีย ที่ต่างเป็นเป้าหมายใหม่ที่นักลงทันต่างชาติสนใจไปลงทุน จากขีดความสามารถด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทย ในการผลิตสินค้าประเภทเดียวกัน
ขณะที่ประเทศเหล่านี้ยังเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และความต้องการสินค้าเพื่อบริโภคในประเทศ จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และขนาดประชากร
มีเพียงท่องเที่ยว “ตัวเดียว” ที่ยังเป็นตัวชูโรงหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทย (ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางมาไทยในไตรมาสแรก 8.94 ล้านคน เพิ่มขึ้น14.3% สร้างรายได้ 4.56 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.2%)
เขาว่าใครดูแลภาคการส่งออกก็ต้องก้มหน้ารับฟังคำวิจารณ์ (ตัวเลขส่งออกเดือนม.ค.2559 มีมูลค่าการส่งออก 15,711 ล้านดอลลาร์สหรัฐติดลบ 8.91 % โดยเป็นการติดลบต่อเนื่องเดือนที่13และติดลบมากสุดในรอบ 4 ปี)
“บริหารงานบนทางสองแพร่งไม่ว่าทำแบบไหน ก็โดนด่า แต่นายกฯบอกชัดว่าท่านไม่เอาประชานิยม (แก้ปัญหาระยะสั้น) ที่โปรยเงินอัดฉีดให้คนมีความสุขชั่วคราว นั่นเท่ากับว่าเดินตามรูปแบบเก่า เห็นได้จากตอนเดินขบวนราคายางพาราตกต่ำ รัฐบาลก็ไม่เลือกที่จะใช้เงินอุดหนุนเหมือนที่ผ่านมา"
กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่ดูแลเรื่่องปากท้องของคน แต่เราไม่ได้มาเพื่อแก้ปัญหาปากท้องอย่างเดียว แต่มาเพื่อปฏิรูป ไม่งั้นความชอบธรรมไม่มี หากคสช.จะอยู่ได้ไม่ถูกเสียงด่าในประวัติศาสตร์ อย่างน้อยก็ต้องเริ่มปฏิรูป ดร.ด้านการตลาดจากเคล็อก กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ขณะที่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เขาบอกว่า ก็ต้อง“ถกแขนเสื้อ”ลงไปฟังปัญหาระดับรากหญ้าด้วยตัวเอง อาทิ การลงพื้นที่พบปะกับชาวสวนจันทบุรี ถึงชาวสวนเชียงใหม่ เพราะแต่ละพื้นที่จะมีปัญหาแตกต่างกัน เขายกตัวอย่าง
แนวทางการวางระบบบริหารจัดการพืชผลการเกษตร เขาเห็นว่า ต้องวางระบบการบริหารจัดการค้าที่เข้มแข็ง นำทั้งการขึ้นทะเบียน รวมถึงการเชื่อมโยงผลผลิตกับการแปรรูปสินค้าเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อย่างเป็นธรรม ราคารับได้ ต่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
ขณะที่หัวใจสำคัญคือการจัดการปัญหา คือ การใช้ “ตลาดกลาง” เป็นกลไกหลัก เพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้เกษตรกรในการนำผลผลิตเข้าสู่ตลาด ตัดปัญหาพ่อค้ามารับซื้อกดราคา
รมช.พาณิชย์ บอกว่า ในอนาคตจะต้องพัฒนาตลาดกลางสินค้าเกษตรในแต่ละภาคเพื่อกระจายสินค้าสู่ตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ตามแผนที่วางไว้ จะมีตลาดกลางที่พัฒนาเป็นศูนย์กระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ประมาณ 9 แห่ง กระจายอยู่ในแต่ละภาคของประเทศ
เขายังด้วยบอกว่า การเข้าไปรับฟังปัญหาโดยตรง เห็นหน้างานสัมผัสตลาด วิถีเศรษฐกิจชุมชน ได้สัมผัสข้อมูลเชิงลึกด้วยตัวเองแทนการอ่านข้อมูลรายงานเพียงอย่างเดียว และเสริมกำลังใจให้ชาวบ้านได้เห็นว่าไม่ได้ละเลยปัญหาของระดับรากหญ้า
จะส่งผลทางความเชื่อมั่นในการทำงาน เพราะหลักเศรษฐศาสตร์ ความเชื่อมั่นและศรัทธา บรรยากาศในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญ
หากอารมณ์คนไม่จับจ่ายหมดกำลังใจ เศรษฐกิจก็ซึมยาว นี่จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งจากภายใน
สะท้อนว่า นักวิชาการเช่นเขา ไม่ได้นั่งแต่บนหอคอยงาช้าง
ขณะที่การแก้ปัญหาระยะยาว อย่างการปฏิรูปประเทศ “สุวิทย์” ระบุว่า เรื่องที่ท้าทายคือการสื่อสาร สร้างความเชื่อมั่นให้ภาคราชการ ให้เข้าใจวิถีทางการปฏิรูปประเทศว่าจะต้องนำไปสู่การจะการปฏิบัติ (Reform in Action) ต้องปรับระบบการทำงานข้าราชการ วิธีคิด จากที่เคยคิดในกรอบ ยึดพื้นที่ตัวเอง มาร่วมกันคิดอย่างเชื่อมโยงระหว่างรัฐ เอกชน และภาคประชาชน (ประชารัฐ)
“ที่ผ่านมา ภาครัฐ ราชการ และการเมืองอ่อนแอ นักการเมืองมาแล้วไป ขาดการมองภาพรวม คิดแยกส่วน ส่วนภาคราชการลำพังเพียงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก็เต็มกำลัง ระบบราชการมีหลายคนพร้อมเปลี่ยนแปลง แต่จะผลทันทีเป็นเรื่องที่ยาก เพราะติดกับกรอบและระบบการประเมิน (KPI) ที่ต้องเดินไปตามแผน และกรอบการประเมิน”
ดีที่ยังมีทางออก ตรงที่มี “งบกลาง” แต่ก็เปลี่ยนแปลงได้บางส่วน บางส่วนต้องทำตามกรอบงบประมาณเดิม เขาวิพากษ์
ส่วนการสื่อสารกับเอกชน สุวิทย์ ระบุว่า ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือค่อนข้างดี เรียกว่า “ต่อติด” กับภาครัฐ
“แน่นอนว่าตามโมเดล ดร.สมคิด หากประชารัฐขับเคลื่อนได้เอง จะเกิดพลังการรวมกลุ่มของธุรกิจและภาคประชาชน แต่เรื่องบางเรื่องก็เดินได้ด้วยตัวเอง เช่น โครงการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โดยมีสถาบันการเงินเป็นตัวกลาง นำคนเหล่านี้มาพบกันอยู่แล้ว แต่ถ้านำแนวทางนี้มาร่วมวงประชารัฐ ก็จะเป็นวงที่ใหญ่ขึ้นแทนที่จะมีกลุ่มนักธุรกิจจากหอการค้าไทย ก็อาจขยายมาเพิ่มจากสภาอุตสาหกรรมฯ หรือนักธุรกิจจากภาคส่วนอื่นๆ มีคนของรัฐมาร่วม เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า”
เช่นเดียวกับการสร้างความร่วมมือกับค้าปลีกรายใหญ่ของประเทศ บิ๊กซี เทสโก้โลตัส เซเว่น อีเลฟเว่น รายใหญ่เหล่านี้ ทำโครงการรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) อยู่แล้วเมื่อมาลงขันกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกัน เช่น เปิดพื้นที่ขายสินค้าเอสเอ็มอี ก็จะเกิดพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
นอกจากนี้ ยังมีโครงการพี่ช่วยน้อง (Big Brother) ที่นักธุรกิจรายใหญ่พารายเล็กไปบุกตลาดต่างประเทศ
“เอกชนไม่ต้องมารอให้ภาครัฐมาบอกว่าจะต้องทำอะไร แต่เอกชนกับภาคประชาสังคมจะเป็นผู้มาบอกในวงรัฐมนตรีว่าจะทำอะไร และต้องการให้รัฐปลดล็อกเรื่องไหน”
โมเดลนี้ รัฐมนตรีจึงทำหน้าที่ “เชื่อมข้อต่อ” แต่ละภาคส่วนได้สนิทแนบแน่น บางโครงการภาครัฐไม่ต้องสูญเสียงบประมาณเลย ทั้งหมดถูกขับเคลื่อนจากความร่วมมือของเอกชน
“ชั่วโมงนี้หากไม่เอาเอกชนก็จะเอาต่างชาติมาช่วยก็ไม่ใช่ พวกเราอยู่กันอย่างนี้ในที่ประชุมมีลูกเจ้าสัวเต็มไปหมด พวกเขามีความตั้งใจจริงในการทำงานเพื่อชาติ และย้อนกลับมาสู่ธุรกิจ เรามีความเห็นตรงกันว่า ถ้าวันนี้เราพลาด ประเทศนี้คงไม่มีอนาคตแล้ว หากคนพวกนี้ไม่คิดถึงประเทศไทย ไปลงทุนต่างประเทศนานแล้ว เขาไม่อยากไปเพราะไปต่างประเทศก็เป็นเหมือนกันกัน Second Citizen”
ส่วนการบริหารความรู้สึก ทัศนคติของคน ให้เข้าใจการทำงาน โดยเฉพาะประชาชนส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจเชิงลึก ความรู้สึกถึงเศรษฐกิจฝืดเคือง ของแพง ต้องทำให้เกิดความเชื่ก็ต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลกำลังเข้าไปแก้ปัญหา
“เรื่องเศรษฐกิจมหภาคเข้าใจยากต้องอาศัยการสื่อสารหลากหลายช่องทาง เช่น การสื่อสารผ่านเฟซบุ๊ค ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นนักธุรกิจ และเครือข่ายคนทำงานมักจะเข้ามาอ่านและติดตาม สื่อสารในหลากหลายระดับ เป็นต้น”
เหล่านี้คือสิ่งที่ รมช.พาณิชย์ พยายามยามสื่อสารสิ่งที่กำลังขับเคลื่อนนโยบายสู่ภาคปฏิบัติ
หลังศูนย์สำรวจความคิดเห็น“นิด้าโพล” สำรวจความคิดเห็นประชาชน“1 ปี 6 เดือน" ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 19-21 ก.พ. จำนวน 1,252 หน่วยตัวอย่าง
พบว่าเขาเป็น 1 ใน 5 รัฐมนตรีที่ประชาชน “ไม่พอใจ” การทำงานประชาชน
ทีมงานของเขาวิเคราะห์ผลโพลว่า เป็นเพราะ 2 สาเหตุคือ รับโจทย์ยากไม่เห็นผลในทันที งานปฏิรูปจะเห็นผลเป็นรูปธรรมต้องใช้เวลา และต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากระบบราชการ และเอกชน และอาจจะเป็นปัญหาทางการสื่อสาร ต้องหมั่นอธิบายประชาชนว่าได้ทำอะไรไปแล้ว
---------------------------------------
เจาะ “ซูเปอร์ริช” เพื่อนบ้าน
คาราวานเยือนไทย
เป็นที่รู้กันดีว่า ตัวเลขส่งออกของไทย มีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP-Gross Domestic Product) ถึง70%
ทว่า สุวิทย์ บอกว่า การพึ่งพาตัวเลขการส่งออก รวมถึงรายได้จากการพึ่งพาการลงทุนต่างชาติ ถือเป็นการยืมจมูกคนอื่นหายใจซึ่งขึ้นอยู่กับตัวแปรที่ยากจะควบคุม
โดยเฉพาะปีนี้หากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวในระดับต่ำ ส่งออกไทยไตรมาสแรกยากที่จะเป็นบวก ยิ่งทั้งปีตั้งเป้าไว้ที่ 5% มองว่าเป็นเป้าที่ท้าทายมาก
“ส่งออกเติบโต5% เป็นเรื่องที่ยากมากหากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น เราก็ต้องสู้ให้เต็มที่ แต่ขณะเดียวกันก็มีตัววัดความมั่งคั่งตัวใหม่ คือเน้นการบริการและการลงทุนนอกบ้าน (ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ -GNP) ประโยชน์ตกอยู่กับคนไทย บางคนหาว่าเราเบี่ยงเบนประเด็น แต่ทิศทางการพัฒนาทุกประเทศเป็นเช่นนี้”
โดยเขาระบุว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ล้วนแสวงหาความมั่งคั่งจาก GNP มากกว่า GDP เกินกว่า100% ส่วนไทยยังอยู่แค่ 0.5%จาก GDP ถึง 95.7% นั่นเท่ากับว่ารายได้จากความมั่งคั่งของไทยยังอยู่เพียงในบ้าน ทั้งที่ตลาดโลกเปิดกว้างสร้างความมั่งคั่งใหม่มากมาย
ทั้งนี้ 4 ปัจจัยสร้างความมั่งคั่งใหม่ให้ไทย ประกอบด้วย
รายได้จากการส่งออกสินค้า (Trade in good) ที่ต้องหาตลาดเพิ่มมากขึ้น, รายได้จากภาคบริการ (Trade In service),รายได้จากการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (Inward investment) และรายได้ที่เกิดจากคนไทยไปลงทุนต่างประเทศ (Outward Investment)๋
“โลกในอนาคตมันแกะกันไม่ออก แต่สถานการณ์เช่นนี้ จีนไม่ได้มองเราเหมือนเดิม เพราะจีนมีทางออกทะเลใหม่ไปยังปากีสถาน เมื่อก่อนเรามีอิทธิพลทางเศรษฐกิจกับเขา แต่เดี๋ยวนี้ยังมี ลาว เวียดนาม พม่า และกัมพูชา”
กลยุทธ์การวางสมดุลเศรษฐกิจจึงต้องหามิตรต่างชาติแบบ “สมดุล” เพื่อสร้างความมั่งคั่ง โดยเฉพาะมองตลาดเพื่อนบ้าน (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เป็นตลาดเดียวกัน CLMV as Our Home Market ที่คิดถึงการส่งสินค้า ไปลงทุน เชื่อมต่อในทุกระดับตั้งแต่ รัฐต่อรัฐ เอกชนต่อเอกชน และคนต่อคนที่วัฒนธรรม รสนิยมตลาดใกล้เคียงกัน
เป้าหมายแรก คือการเจาะกลุ่มคนรวย ซูเปอร์ริชในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ถือว่ารวยมาก ขับโรสรอย รัฐมีจะจัดคาราวานเชิญมาเที่ยวเมืองไทย
ในเร็วๆ นี้จึงเห็นรัฐบาลบินปูพรม เชื่อมสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน โดยนายกรัฐมนตรีและรองนายกฯสมคิด จะเดินทางไปอินเดียช่วงเดือนมี.ค. ต่อด้วยเกาหลี แสวงหาโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (ครีเอทีฟ อีโคโนมี) เกาหลีใต้เคยมีสถานะไม่ต่างกันกับไทย เศรษฐกิจถูกคุมโดยรายใหญ่ไม่กี่ราย รัฐบาลจึงแจกโจทย์ให้รายใหญ่ลงขันสร้างศูนย์พัฒนานวัตกรรม กลับจากเกาหลีก็ ปิดทริปนี้ที่เวียดนาม จัดงาน “ซีอีโอ ฟอรั่ม” ให้นักธุรกิจไทยและนักธุรกิจเวียดนามมาพบกัน เพื่อเชื่อมเครือข่าย ทำให้เอกชนไทยเห็นว่ารัฐบาลและเอกชนรายใหญ่ปูทางสร้างเครือข่ายไว้รอแล้ว
“เวียดนามอนาคต คู่แข่งเราแน่ๆ ณ วันนี้ต้องแตะมือไว้ก่อน อยู่ใกล้อย่างมิตรดีกว่าอยู่นอกสายตา”
-----------------------------------
ไทยบนเวทีโลก
เอเซีย คือจิ๊กซอว์หลัก
สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ ยังเล่าถึงบทบาทการค้าไทยต่อเวทีการค้าโลกว่า ไทยต้องเรียนรู้ที่จะจัดวางความสัมพันธ์ เลือกคบมิตร หาจิ๊กซอว์เปิดโอกาสตลาดการค้าใหม่ๆ ที่อิงมาฝั่ง “เอเชีย” มากขึ้น หลังจากยุโรป และสหรัฐ เริ่มเพิ่มกำแพงการค้ามากขึ้น
“เอเชียคือจิ๊กซอว์" โดยรัฐบาลเริ่มเข้าไปเริ่มเข้าไปเยือน ซึ่งจะทำไปสู่การเจรจาการค้า ไม่เฉพาะจีนและต้องสร้างสมดุลกับประเทศอื่นๆในเอเชีย
“ต้องบาลานซ์กับมหาอำนาจอย่างจีน แต่ก็ทิ้งจีนไม่ได้ เพราะจีนเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ เพียงแต่ว่าวันนี้จีนไม่ได้มองไทยเหมือนเช่นในอดีต จึงต้องมีมิตรสร้างความสัมพันธ์กระจายอยู่ทั่วแผนที่เอเชีย” สุวิทย์ ย้ำ
ประเทศที่เติบโตและก้าวไปลงทุนรวดเร็วจะแยกการเมืองออกจากเศรษฐกิจ เช่น อิหร่าน ยังเป็นอีกประเทศทีน่าสนใจ แม้จะโดนคว่ำบาตรทางการค้ามานาน แต่ปรากฎว่า ฝรั่งเศส และเยอรมันแอบไปลงทุนปักธงอยู่ก่อนนานแล้ว รวมถึง สิงคโปร์ก็เช่นเดียวกัน ไม่เคยคำนึงถึงความสัมพันธ์ทางการเมือง ใครทะเลาะกับใคร มองแต่เรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก “สุวิทย์” เผย
ขณะที่ไทยถือว่าเข้าไปในอิหร่านช้าไปเพราะมัวกังวลเรื่องบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
------------------------------
มุมมองเอกชน ประเมิน“สอบผ่าน”
ฟังความเห็นจากมุมมองของเอกชน ที่รัฐบาลชุดนี้มองว่าเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ถึงการเชื่อมการทำงานจากแนวคิด มาสู่ภาคปฏิบัติ ผ่านการทำงานของ รมช.พาณิชย์
วัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เถ้าแก่ผู้เติบโตมาจากธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก รับจ้างผลิตจนพลิกตัวเองไปลงทุนสิ่งทอในประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบันเขานั่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานภายสานพลังประชารัฐ ในคณะทำงานส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ เป็นหนึ่งในตัวแทนเอกชนที่แลกเปลี่ยนแนวคิด ระดมสมองเพื่อหาวิธีสร้างความมั่งคั่งใหม่ให้ประเทศ
ผ่านการเฝ้าติดตามการทำงานของ สุวิทย์ ในยุคที่เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรึพิทักษ์ เขาเป็นผู้ขายโมเดลดันไทย “ฮับอาเซียน” นับได้ว่าเป็นนักวิชาการผู้ชำนาญการมองโลกอนาคต และกำหนดแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว
“ในช่วงนั้นมองว่าเป็นเรื่องยาก อยู่ไกลเกินไขว่คว้า"
แต่วันนี้ สุวิทย์ กลับมาในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยเจอวิบากเศรษฐกิจโลกโถมเข้ามาทำให้โมเดลของคำว่า “โลกใบใหม่” ของเขาชัดเจนมากขึ้น เมื่อพูดถึงการปฏิบัติและการหลุดจากการเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าที่แข่งขันด้านราคา ไปสู่การเพิ่มมูลค่า
ไม่ว่าในเวทีไหนนักธุรกิจทุกคนเข้าใจทิศทางและแรงบีบจากสงครามการค้าโลกที่ลุกลามมาสู่ไทย
“งวดนี้ฟังดร.สุวิทย์ง่ายขึ้น ใกล้ตัวมากขึ้นมีความเป็นรูปธรรม เชื่อมโยงกับปัญหาเฉพาะหน้าไปสู่ทิศทางปฏิรูป ภาคธุรกิจเข้าใจว่าเราควรมองในจุดเดียวกันกับที่ดร.สุวิทย์พูด เปลี่ยนจากประเทศผู้ผลิต ติดกับดักรายได้กับดักปานกลางไปสู่รายได้สูง”
ดร.สุวิทย์ เป็นคนที่มุ่งมั่นจะสร้างสรรค์อนาคตประเทศไทย มองปัญหาและวางโมเดลสั้นลง 3-5 ปี เป็นรูปธรรมมากขึ้น ที่ชัดเจนคือ ยุทธศาสตร์ CLMV as Our Home Market ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน ทำการบ้านศึกษาสัมผัสตลาดเชิงลึกเข้าถึงไลฟ์สไตล์พฤติกรรมผู้บริโภค
เขามองดร.สุวิทย์เป็นนักวิชาการนอกจากมองอนาคต แต่ต้องนั่งแก้ปัญหาระยะสั้นไปพร้อมกัน จึงน่าเชื่อได้ว่าเขาเป็นนักปฏิบัติที่ดีได้ คะแนนเต็ม10 สำหรับความตั้งใจแล้วประเมินผลงานที่ 9 คะแนน ฝากการบ้านไว้ทำต่อเนื่องอีกเรื่องคืออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ
ส่วนเรื่องของการสื่อสารที่ถูกครหาที่มักใช้ศัพท์เทคนิคและทับศัพท์ภาษาอังกฤษ เขามองว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับนักธุรกิจที่จะเข้าใจความหมาย หากเป็นผู้ที่วิ่งตามโลก ต้องเข้าใจ บางคำพูดเป็นไทยอาจจะเข้าใจยากกว่าทับศัพท์
ด้าน นพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออกฯ ผู้ติดตามจากคนนอกที่ไม่มีโอกาสนั่งในคณะทำงาน แต่เป็นคนหนึ่งที่ชี้เป้าหมายให้รัฐบาลมองเห็นความเป็นไปของโลกการค้า และบริบทปัญหาของประเทศในปัจจุบัน
เขามองว่าดร.สุวิทย์ เป็นรัฐมนตรีที่มีความพร้อมความทั้งในความรู้ความสามารถมีหลักการ เพราะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจการบริหารงาน แตกต่างจากอดีตที่มักจะมีนักการเมือง หรือภาคราชการอย่างเดียวเข้ามาบริหารงาน
แนวคิดของดร.สุวิทย์จึงออกแบบโมเดลการพัฒนาประเทศบนพื้นฐานความรู้เข้าใจบริบทของประเทศ เข้าใจภาพรวมของประเทศ เมื่อมานั่งเป็นรัฐมนตรีคู่กันกับ อภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นข้าราชการมีประสบการณ์ทำงาน จึงถือว่ามีความลงตัวทำงานสอดคล้องกัน
หวังว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศได้
ทว่าเนื่องมาจากปัจจุบันประเทศไทยทั้งเศรษฐกิจโลกระทบเศรษฐกิจภาย มีปัญหาระยะความท้าทายคือการต้องเข้าใจบริบทข้าราชการ ที่ไม่ง่ายทำให้ระบบราชการคิดนอกกรอบแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและนำไปสู่การวางแผนระยะยาว
“ฝากความหวังว่าเรื่องยากแต่อย่าท้อถอย เพราะบางเรื่องไม่ได้อยู่ที่ท่านคนเดียวแต่อยู่ที่ระบบราชการที่ต้องทำให้เข้าใจแนวคิด และการปฏิรูปองค์กรไม่เช่นนั้นก็จะไปกันใหญ่ แก้ปัญหาระยะยาวไม่อาจจะเห็นผลได้ทันตาหลีกเลี่ยงที่จะถูกวิจารณ์ไม่ได้แต่ก็ขอให้เดินหน้าต่อไป”
สิ่งที่อยากจะสานต่อให้เป็นรูปธรรมคือ โมเดลที่จะทำให้ประเทศไทยนำไปสู่การความยั่งยืนในอนาคต คือ ประชารัฐ ที่ขับเคลื่อนการทำงานจากภาคเอกชน และสังคมเป็นภาคประชาสังคม ร่วมกันกับภาครัฐบาล
วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัดหนึ่งในเอสเอ็มอีรายเล็ก ที่ได้รับรางวัลพัฒนานวัตกรรม แปรรูปผักผลไม้จากโครงการหลวงเป็นหนึ่งใน 80 นักธุรกิจไปทำการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ในประเทศอิหร่าน จึงได้รับฟังวิสัยทัศน์การมองในเชิงยุทธศาสตร์การค้ากับอิหร่านในฐานะเพิ่งเปิดประเทศ
จึงเข้าในบริบทถึงการเชื่อมสัมพันธ์กับการค้าระหว่างประเทศและการค้าโลก แบบเห็นทิศทางการเดินของประเทศ
“เราเข้าไปฟังวิสัยทัศน์ รมช. สุวิทย์เป็นคนที่มองการไกลมาก และสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกพลังให้เอกชนเอสเอ็มอีอย่างเราฮึกเหิม เป็นนักรบของไทยไปลุยตลาดต่างประเทศได้”
โดยเฉพาะการเปิดเฟซบุ๊คเพจ ที่ท่านมาตอบบ้าง ทำให้สัมผัสได้ว่ารับฟังปัญหาสื่อสารโดยตรงจากเอกชน แม้จะมีแอดมินคอยดูแลแต่ก็เชื่อว่าท่านก็ได้อ่านและได้ตอบโดยตรง จึงทำให้รู้สึกว่าหากมีปัญหาสามารถร้องเรียน รายงานผ่านแฟนเพจนได้โดยตรง รวมถึงการนำโมเดลข้อมูลต่างๆ มาลงให้เอกชนได้เข้าใจทิศทางและวิธีการบริหารประเทศของรัฐบาลมากขึ้นว่าอยู่ในช่วงยกระดับขีดความสามารถพัฒนาไปสู่นวัตกรรมขับเคลื่อนประเทศ
สำหรับวิธีการสื่อสารอาจจะต้องปรับคำศัพท์ทางเทคนิคที่หากเป็นคนที่ไม่จบเศรษฐศาสตร์หรือ ชาวบ้านทั่วไปอาจจะเข้าใจวิธีคิดและมุมมอง ที่ต้องใช้เวลาศึกษาและขยายความแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่วางแผนไว้
---------------------------
จบเภสัชฯ ไม่จ่ายยา มาเป็นรัฐมนตรี
สุวิทย์ เมษินทรีย์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเภสัชศาสตร์ จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระดับปริญญาโทด้านการตลาด จากคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นนักวิชาการที่มีผลงานเขียนหนังสือหลายเล่ม ได้แก่
The Marketing of Nations ร่วมกับ Philip Kotler และ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
Marketing Moves ร่วมกับ Philip Kotler และ Dipak Jain (Harvard Business School Press, 2002)
Thailand Stand Up (BrandAge Book, 2005)
จุดเปลี่ยนประเทศไทย : เศรษฐกิจพอเพียงในกระแสโลกาภิวัตน์ (การเงินการธนาคาร, 2006)
โลกพลิกโฉม : ความมั่งคั่งในนิยามใหม่ (การเงินการธนาคาร, 2007)
Value Creation Machine (BrandAge Book, 2008)
ประเทศไทยในหลากมิติ (BrandAge Book, 2008)
เมื่อโลกไม่ใช่ใบเดิม (การเงินการธนาคาร, 2010)




