‘อภิสฤษฎิ์ นิรุชทรัพย์รดา’พันธกิจเติมไฟธุรกิจ‘ดาต้า เพาเวอร'

‘อภิสฤษฎิ์ นิรุชทรัพย์รดา’พันธกิจเติมไฟธุรกิจ‘ดาต้า เพาเวอร'

ทายาทรุ่น 2 สานต่อธุรกิจครอบครัวลำบากจากตลาดเปลี่ยนยู-อภิสฤษฎิ์ นิรุชทรัพย์รดาผู้นำดาต้า เพาเวอร์กอบกู้ธุรกิจให้มีลมหายใจเติมพลังไฟในทุกยุค

คนหนุ่มวัย 28 ปี หอบหิ้วสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ที่บรรจุความมุ่งมั่น ตั้งใจ และแผนการมากมายในการพลิกฟื้นธุรกิจครอบครัว พันธกิจสำคัญของผู้นำรุ่นสองอย่างเขา มาร่วมแลกเปลี่ยนกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek

นี่คือ “ยู-อภิสฤษฎิ์ นิรุชทรัพย์รดา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาต้า เพาเวอร์ จำกัด  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายปลั๊กไฟแบรนด์ไทยแท้ “DATA” ที่อยู่ในสนามมากว่า 25 ปี ทำธุรกิจตั้งแต่สมัยที่ปลั๊กไฟยังขายกันในราคาหลักพัน ผู้เล่นน้อยราย และส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ไทย จนมาสู่ยุคทะเลเดือดการแข่งขันล้นทะลัก ซึ่งคู่แข่งแทบทั้งหมดนำเข้าสินค้าจากจีนมาขาย

หมดแล้วยุคหลักพัน ทุกวันนี้ขายกันแค่หลักร้อย แถม “มาร์จิ้น” ก็ยังเหลือติดกระเป๋าแค่น้อยนิด

“ทุกวันนี้ตลาดแข่งขันสูงมาก โลกเปลี่ยนไป เมื่อก่อนการลงทุนทำธุรกิจอะไรสักอย่าง เราอาจต้องคิดหนัก เก็บหอมรอมริบมากว่าจะทำได้ แต่ทุกวันนี้แค่นำเข้ามาก็จบ ทุกคนไม่แคร์ด้วย ฉันขายได้ ลูกค้าเป็นอย่างไรก็เรื่องของคุณ แต่เราทำไม่ได้ เรายังต้องคงคุณภาพให้ได้มากที่สุด และทำให้คุณภาพเหมือนสมัยอันละพัน แม้ทุกวันนี้ขายกันแค่อันละร้อย”

คนหนุ่มบอกความท้าทายที่เขากำลังรับมือ ในฐานะทายาท และ “ลูกโทน” ที่ต้องมาสานต่อธุรกิจครอบครัว ซึ่งถ้าเขาไม่รับไว้ ธุรกิจที่คนรุ่นก่อนสร้างกันมา ก็คงจบอยู่แค่นี้

“ที่ผมต้องมาสานต่อ เพราะเห็นพ่อกับแม่ทำมาตลอด ท่านเหนื่อย เราเป็นลูกก็ควรดูแลสิ่งที่ท่านสร้างไว้”

เขาบอกการตัดสินใจ หลังคลุกคลีกับธุรกิจครอบครัวมาตั้งแต่ 10 ขวบ หน้าที่ซึ่งผู้เป็นพ่อมอบหมายให้ ณ ตอนนั้น คือ เดินปิดไฟโรงงาน และตรวจตราความสงบเรียบร้อย ในทุกวันหลังเลิกเรียน

“ตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมต้องทำ แต่พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่า สิ่งที่ท่านสอน ท่านต้องการให้ผมเรียนรู้เรื่อง การตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ และการให้ความสำคัญกับคนทุกคน ไม่ว่าจะ ลูกค้า พนักงาน หรือลูกน้อง”

อีกบทเรียนสำคัญที่ได้จากคำสอนของพ่อแม่ คือ คนเราต้องรู้จัก กตัญญู รู้คุณคน และซื่อสัตย์ คำ 3 คำ ที่ทำให้เขาไม่คิดออกนอกลู่นอกทาง แต่มุ่งมั่นมาตลอดที่จะเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว และคิดแต่เพียงว่า

“ยิ่งเริ่มช้าเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นผลเสียกับธุรกิจมากเท่านั้น”

และนั่นคือเหตุผลที่อดีตเด็กกิจกรรมแห่งโรงเรียนสวนกุหลาบ ตัดสินใจวางแผนการเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ ไม่ใช่แค่สนุกไปวันๆ แต่ต้องทำเพื่อครอบครัว โดยคนหนุ่มจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา วิชาโท ผู้ประกอบการธุรกิจ ต่อด้วยปริญญาโทเศรษฐศาสตร์หลักสูตรภาษาอังกฤษ ภาควิชา MABE (Master of art Business and Economics) ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน

“ตอนปีหนึ่งผมเกรดแย่มาก เลยเริ่มมาวิเคราะห์ตัวเอง พบว่าการที่เราทำกิจกรรมมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะจะวางแผนอนาคตไม่ได้ ผมจึงมุ่งมั่นเรียนเพื่อที่จะดันให้เกรดถึงเป้าที่จะเรียนต่อโทได้ เพื่อเอาความรู้ไปใช้กับธุรกิจครอบครัว ระหว่างนั้นก็มองแล้วว่า ความรู้ในห้องเรียนอาจยังไม่พอ เลยเริ่มออกไปเรียนรู้ประสบการณ์จากข้างนอก”

ในวัยเพียง 19 ปริ่มๆ เขาไปสมัครเข้าร่วมโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ (New Entrepreneurs Creation : NEC) ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็น NEC รุ่น 21 ที่อายุน้อยสุด

“ตอนแรกเขาจะไม่ให้ผมเรียนด้วยซ้ำ ก็ไปกราบกรานอาจารย์ ขอเรียนเถอะ มันจำเป็นกับธุรกิจที่บ้านผม ผมต้องการความรู้ และต้องการเขียนแผนธุรกิจ เพราะสิ่งที่ผมมีอยู่มันไม่พอ และการเรียนอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตอบโจทย์”

จากนั้นก็ยังคงลงเรียนวิชาผู้ประกอบการที่หน่วยงานต่างๆ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 3 ไปลงเรียน “MMS” (Modern management for SME) รุ่นที่ 1 ที่จัดโดยธนาคารกรุงไทยร่วมกับจุฬาฯ และยังครองตำแหน่งอายุน้อยสุดในรุ่น เป็น KSME รุ่น 18 โดยกสิกรไทย และลงเรียน Mini MBA ที่ธรรมศาสตร์ เหล่านี้เป็นต้น

รู้แค่คำคนอื่นเขาบอกยังไม่พอ ให้ชัวร์กว่านั้นก็ต้องลงมือปฏิบัติจริง ระหว่างเรียนปี 3-4 เลยไปลงหุ้นกับพี่ๆ เปิดร้านอาหาร และธุรกิจก็ “เจ๊ง” ไปตามระเบียบ 

“ผมได้ประสบการณ์อะไรหลายอย่าง รู้ว่าเราต้องใส่ใจในรายละเอียดให้มากๆ เพื่อไม่ให้ถูกโกง รู้ว่าการทำงานกับหุ้นส่วน แม้เราเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะซื่อสัตย์เหมือนกับเรา ฉะนั้นเราต้องดูคนให้ออก บอกคนได้ และใช้คนเป็น” เขาบอกบทเรียนจาก “วิชาโกง” ที่ไม่มีสอนในตำราเล่มไหน แต่ได้เรียนรู้จากตำราชีวิต “ล้วนๆ” 

ความรู้ที่ตกผลึกจากวิชาชีวิต คือเคล็ดลับธุรกิจที่บอกให้ต้อง “ซื่อสัตย์ และปล่อยวาง”

“ทำธุรกิจถ้าไม่ซื่อสัตย์ คุณก็พังตั้งแต่แรกแล้ว และถ้าไม่รู้จักปล่อยวาง เวลาคู่แข่งเข้ามาตีทุกวันๆ เราจะเครียดจนแก้ปัญหาไม่ได้ ฉะนั้นต้องทำใจให้ว่างๆ หาวิธีรับมือ และอย่าไปเครียด ถ้าไม่อย่างนั้นวันนี้ผมคงเครียดตายไปแล้ว”

ก็สิ่งที่เขาเจอเบาอยู่เสียเมื่อไร เมื่อวันนี้การแข่งขันสาหัสสากรรจ์ขึ้นเรื่อยๆ สงครามราคายังเล่นงานธุรกิจ กำไรหดหาย ทำอย่างไรที่จะรับมือสถานการณ์นี้ โดยที่ยังรักษาจุดยืนขององค์กรไว้ได้ นั่นคือ “คุณภาพดี ปลอดภัย ราคาประหยัด”

“ยิ่งแข่งขันสูงเท่าไร คนก็ยิ่งลดต้นทุน เอาสายไฟ ปลั๊กไฟกากๆ มาขายให้ลูกค้า ซึ่งต่อให้เราจะได้กำไรเพิ่มขึ้น แต่ถ้าต้องส่งของกากๆ ให้ลูกค้า ผมทำไม่ได้ และจะไม่ทำ เราเลยต้องเน้นทำของดี และพยายามใส่นวัตกรรมเข้าไป เช่น ปลั๊กไฟนิรภัย ปลั๊กไฟ USB ที่ใช้ชาร์จมือถือได้ ปลั๊กไฟโดเรมอน ลิขสิทธ์แท้ ฯลฯ โดยรับฟังเสียงลูกค้าแล้วมาใช้พัฒนาสินค้า” 

เพิ่มเติมความมั่นใจ ด้วยเรื่อง Service Mind แม้จะขายของไม่แพง แต่บริการก็ต้องดีเลิศที่สุด โดยนอกจากมีการรับประกันสินค้า พวกเขายังใช้ช่องทางเฟซบุ๊กในการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งคนที่จะคอยตอบคำถาม ก็คือผู้บริหารอย่างเขา

นอกจากการพัฒนาโพรดักส์ พันธกิจในการสานต่อธุรกิจครอบครัว ยังรวมถึงการปรับหลังบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยมีการนำมาตรฐานต่างๆ เข้ามาใช้ในการผลิตและบริหารองค์กร แม้แต่นโยบายในการดูแลแรงงานจากต่างประเทศ อย่าง Sedex และ ETI practice ก็นำเข้ามาใช้เพื่อดูแลพนักงานที่มีอยู่กว่า 200 ชีวิตด้วย

ทุกวันนี้ยังมีแผนการมากมายอยู่ในสมุดบันทึก คนหนุ่มบอกเราว่า หลายเรื่องยังคิดและทำการบ้านอยู่ ไม่ว่าจะแผนรีแบรนด์ การสร้างคน สร้างองค์กร พัฒนาระบบ สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่ง เพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาแต่ผู้นำอย่างเขา ซึ่งแม้จะเป็นงานยากและหนักหนาแค่ไหน แต่เขาก็จะไม่ถอดใจง่ายๆ ทว่าพร้อมจะสู้ให้ไม่แพ้พ่อกับแม่

“เราต้องสู้ เพราะถ้าไม่สู้ คนไทยก็ต้องใช้แบรนด์ของคนอื่นหมด ทุกวันนี้เราอยู่เพื่อสู้ เพื่อให้ยังมีของดีอยู่ในตลาด และเป็นแบรนด์ไทยแท้ 100% ด้วย” คนหนุ่มบอก

ธุรกิจหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เขาบอกว่าหัวใจที่จะทำให้กิจการยังคงอยู่ คือการ “อยู่กับปัจจุบัน” โดยโลกเปลี่ยนไปอย่างไร ธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนไปตามนั้น

“อนาคตเขาจะไปสู่ยุค Internet of things เราก็ขอมีส่วนร่วมด้วย โดยอาจเป็นที่ชาร์จแบต ชาร์จไฟ หรืออะไรก็ได้ให้เขาใช้ เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะเอาไฟจากไหนมาใช้..จริงไหม”คนหนุ่มตอบสั้นๆ

เพื่อย้ำให้เห็นว่า ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่กำลังไฟของพวกเขาก็จะยังทรงพลัง พร้อมเคียงคู่ไปกับโลกใบนี้

.........................

รู้จักลูกผู้ชายชื่อ 

“อภิสฤษฎิ์ นิรุชทรัพย์รดา”

“ยู อภิสฤษฎิ์” คือเด็กกิจกรรมตัวยง เขาเคยเป็นประธานชุมนุมศิลปวัฒนธรรมไทยและเป็น Candidate ประธานนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบ เป็นหัวหน้าชั้นปี 1 คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ เป็นผู้นำเชียร์คณะรัฐศาสตร์รุ่น 59 และผู้นำสันทนาการบ้านรับน้อง ได้รับทุนการศึกษาถึง 2 ครั้งขณะกำลังศึกษาอยู่ปริญญาโท นอกจากธุรกิจของครอบครัว ปัจจุบันเขายังทำธุรกิจ Startup ร่วมกับเพื่อน เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับรายงานผลฟุตบอล และเปิดบริษัทเทรดดิ้ง ส่วนเป้าหมายในชีวิตยังอยากเรียนต่อปริญญาเอกและเป็นอาจารย์ ซึ่งวิชาที่อยากสอนก็คือ “วิชาโกง” ที่เคยเรียนรู้มาในอดีต