“บาร์บีคิวพลาซ่า” ธุรกิจเริ่มต้นที่ “คน” และ “ความสุข”

“บาร์บีคิวพลาซ่า” ธุรกิจเริ่มต้นที่ “คน” และ “ความสุข”

พวกเขาเชื่อในเรื่อง “คน” และ “ความสุข” ว่าจะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจได้ เลยเปลี่ยนหมากรบ มาใช้โมเดล “วงจรแห่งความสุข”

“เราไม่ได้อยู่ในธุรกิจอาหาร แต่อยู่ในธุรกิจของผู้คน เราเป็น People Business”

คำของ “ชาตยา สุพรรณพงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด  ที่แยกความแตกต่างของร้านอาหารปิ้งย่างแบรนด์ “บาร์บีคิวพลาซ่า” ออกจากผู้เล่นรายอื่นในสนาม

ธุรกิจของพวกเขา เกิดขึ้นเมื่อ 29 ปีก่อน เป็นแบรนด์ไทยแท้ 100% ซึ่งตลอดเกือบ 3 ทศวรรษ ธุรกิจผ่านมาหมดแล้ว ทั้งยุครุ่งเรือง เฟื่องฟู มาจนยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง ต้องผ่านสงครามการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารมาสารพัด

 “เมื่อก่อนบาร์บีคิวพลาซ่า ก็เหมือนธุรกิจร้านอาหารทั่วๆ ไป แต่เราต้องเจอการแข่งขันที่สูงมาก แข่งกันไป แข่งกันมา แข่งแย่งลูกค้ากัน ไม่พอสมัยนี้ยังแข่งแย่งพนักงานกันด้วย เลยเกิดเป็นสงครามราคา เป็น Red Ocean”

ผู้บริหารบาร์บีคิวพลาซ่า บอกสถานการณ์ที่พานพบ ซึ่งโจทย์นี้ก็ดูท่าจะหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ ทำอย่างไรให้อาหารที่พวกเขามั่นใจว่า อร่อยและดี จะสามารถต่อกรกับคู่แข่งในตลาดได้ เพราะยุคนี้มีแต่คนขาย “อาหารดีๆ” เต็มสนาม

หมากรบที่หยิบมาใช้คือ การเปลี่ยนความคิด และเข้าใจ “พนักงาน” ให้มากขึ้น

เริ่มจากความคิดที่เปลี่ยนไป โดยพวกเขาบอกกับตัวเองว่า จะไม่แค่ทำธุรกิจขายอาหาร แต่จะทำธุรกิจบนความเชื่อ และความปรารถนาอันแรงกล้า(Passion)

“ความเชื่อ และ ความปรารถนาอันแรงกล้าคืออะไร คือสิ่งที่ผลักดันให้เราทุกคน อยากตื่นมาตอนเช้าแล้วพุ่งไปทำงาน อยากให้ถึงวันจันทร์เร็วๆ คุยงานจนดึกดื่นก็ไม่เหน็ดเหนื่อย ถึงเหนื่อยบ้างแต่ไม่ท้อ เพราะรู้สึกว่ากำลังทำในสิ่งที่มีความหมายมากๆ สำคัญที่สุดคือต้องถ่ายทอด Passion เหล่านี้ ไปให้ทุกคนในบริษัทได้ช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้น” เธอบอก

เธออธิบายความเชื่อใหม่ของบาร์บีคิวพลาซ่าว่า “เชื่อในเรื่องความสุข” เชื่อว่าธุรกิจที่พวกเขาสร้างขึ้นก็เพื่อสร้างความสุข และดูแลความสุขให้กับผู้คน ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า พนักงาน และผู้ค้า โดยมีมื้ออาหารเป็น “สื่อกลาง” โดยเปลี่ยนจากแค่ขายอาหารที่ใครๆ ก็ขายได้ มาเป็น “ขายความสุข”

“ผู้เล่นในธุรกิจอาหารมีเยอะมาก ในเมืองไทยคงมีเป็นแสนเป็นล้านราย ทำอย่างไรเราถึงจะแตกต่างจากคนอื่นได้ ก็ต้องเริ่มจากความเชื่อเหล่านี้” ผู้บริหารสาวบอก

อีกหนึ่งความเชื่อใหม่ ก็คือเชื่อในเรื่องของ “คน” เธอบอกว่า บาร์บีคิวพลาซ่าไม่ได้อยู่ในธุรกิจอาหาร แต่อยู่ใน “ธุรกิจของผู้คน” (People Business) เพราะเชื่อว่า ไม่ว่าธุรกิจจะมีผลิตภัณฑ์ที่เจ๋งแค่ไหน มีกลยุทธ์การตลาด หรือมีแผนการตลาดที่ดีอย่างไร แต่ถ้าไม่มีคนที่พร้อมจะช่วยกันทำงานแล้ว ธุรกิจนั้นก็คงเติบโตไปไม่ได้

นั่นคือที่มาของการให้ความสำคัญกับ “คน” ซึ่งก็คือพนักงานในทุกระดับชั้น โดยปัจจุบันพวกเขามีทีมงานอยู่ประมาณ 3,800 ชีวิต ในกว่าร้อยสาขาทั่วประเทศ และเหล่านี้ก็คือ “คนสำคัญ” ที่จะมาช่วยกันสร้างธุรกิจบาร์บีคิวพลาซ่า

“เราเชื่อว่า อนุสาวรีย์ไม่ได้สร้างด้วยคนๆ เดียว บาร์บีคิวพลาซ่าเอง ก็ไม่สามารถมายืนอยู่ทุกวันนี้ได้ด้วยคนเพียงคนเดียว หรือผู้บริหารแค่ไม่กี่คน แต่เป็นเพราะพนักงานของเราทุกคน ที่มีอุดมการณ์ มาช่วยกันคิด แก้ไข พัฒนา และช่วยกันผลักดัน จนพลิกฟื้นให้เรากลับมายืนตรงนี้ได้”

จากพันธกิจเดิมที่แค่ขายอาหาร เลยเปลี่ยนมาเป็น “การทำหน้าที่ส่งมอบความสุขให้กับผู้คนในวงกว้าง”

แต่จะทำอย่างไรให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านี้ วิธีการของชาวบาร์บีคิวฯ คือเริ่มทำจากข้างในแล้วถ่ายทอดไปสู่ภายนอก โดยทำให้คนของพวกเขาเชื่อในสิ่งเดียวกัน เชื่ออย่าง 100% ถึงจะถ่ายทอดสิ่งที่เชื่อนั้นออกไปให้ลูกค้าสัมผัสได้

ที่มาของการสร้างโมเดลธุรกิจที่เรียก “วงจรแห่งความสุข” คือการดูแลพนักงานให้มีความสุข ดูแลลูกค้าให้มีความสุข เพื่อไปสู่ ธุรกิจแข็งแรง หมุนเวียนเป็นวงจรแห่งความสุขโดยสมบูรณ์

“เราเริ่มจาก ดูแลพนักงานให้มีความสุข เพราะถ้าคนของเรามีความสุขแล้ว เขาก็จะมีความคิดสร้างสรรค์ มีพลัง มีแรงใจ ที่จะไปส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าได้ เขาจะไปดูแลลูกค้าให้มีความสุข ด้วยความจริงใจของเขา” เธอบอก

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกค้าแฮปปี้จากการได้รับบริการที่ดีจากพนักงานผู้มีความสุข เธอว่า ลูกค้าก็จะกลับมาใช้บริการซ้ำ ชักชวนใครต่อใครเข้ามาเป็นลูกค้า ถึงเวลานั้น “ธุรกิจ” ก็จะแข็งแรง และเป็นความแข็งแรงแบบยั่งยืนด้วย

“พอธุรกิจแข็งแรง เราก็จะสามารถที่มีเงินกลับไปดูแลพนักงานให้ความสุขต่อไป พนักงานก็จะไปดูแลลูกค้า และลูกค้าก็จะกลับมาดูแลธุรกิจ เป็นวงจรอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ” เธอบอก

 การสร้างความสุขให้กับพนักงาน ต้องลงทุน หรือใช้เงินมากแค่ไหน ผู้บริหารบาร์บีคิวพลาซ่า ยืนยันว่า ไม่ต้องใช้งบประมาณมากมาย และไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป แต่ใช้ “ใจ” มากกว่า

“สิ่งแรกเลยคือ ใช้ใจ เราต้องให้ใจไปก่อน มีแค่ไหนก็ทำเท่าที่ให้ได้ ซึ่งสิ่งที่ทำไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ เราค่อยๆ ทำแบบหยอดกระปุก ทำทีละเล็กละน้อย แต่สม่ำเสมอ เริ่มจากอะไรเล็กๆ น้อยๆ และง่าย เช่น กินข้าวร่วมกัน ให้พนักงานดื่มน้ำในร้านได้ฟรี ซึ่งพอพนักงานมีความสุข เขาจะทำผลงานที่มีคุณภาพ และทุ่มเทกับการทำงานมากขึ้น” เธอบอกผลลัพธ์

ตัวอย่างภาพสะท้อนความเป็น “Employee First” พนักงานต้องมาก่อน ก็เช่น การเปลี่ยนแบบฟอร์มที่พนักงานใส่แล้วภูมิใจ และช่วยให้การทำงานสะดวกขึ้น การรับฟังเสียงของพนักงาน และตอบสนองต่อเสียงเหล่านั้น อย่างรวดเร็วและจริงใจ ไม่แพ้เสียงของลูกค้า การพูดจาให้กำลังใจ อะไรที่ขายให้กับลูกค้าพนักงานต้องได้ทานด้วย เพื่อที่จะไปแนะนำลูกค้าได้ แม้แต่กิจกรรมร่วมสนุก ชิงโชคไปต่างประเทศ พนักงานก็จะได้ร่วมสิทธิ์เหล่านี้ด้วย ตลอดจนเรื่องยากๆ ในธุรกิจร้านอาหาร อย่าง การมอบวันหยุดพิเศษให้กับพนักงาน เพื่อที่จะได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น พวกเขาก็พร้อม “จัดให้”

“สิ่งที่เราทำช่วยสร้างความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล และประเมินค่าไม่ได้ เพราะเวลาเขาผูกพันกับเรา เขาจะพูดดีเกี่ยวกับบริษัท เขาจะอยู่นาน ไม่ลาออกไปง่ายๆ สำคัญที่สุดถ้าเราสามารถทำให้เขาผูกพันจนทุ่มเทให้กับบริษัทอย่างเต็มที่แล้ว ธุรกิจก็จะประสบความสำเร็จได้แน่นอน แล้วการสร้างความสุขที่ดูเหมือนจับต้องไม่ได้ แต่ถ้าเราทำมากพอ เดี๋ยวธุรกิจและเงิน ก็ตามมาเอง”

เริ่มต้นจากความเชื่อในเรื่องคนและความสุข ส่งผลลัพธ์ทางธุรกิจตอบแทนกลับสู่พวกเขา โดยในปี 2554 บาร์บีคิวพลาซ่า มียอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 1,700 ล้านบาท พอมาปี 2557 หรือเพียงสามปีหลังจากนั้น ยอดขายของพวกเขาขยับมาอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58.8%

“ปี 2557 เศรษฐกิจค่อนข้างชะลอตัว ธุรกิจร้านอาหาร เติบโตเพียงประมาณ 3% แต่เราโตได้ถึง 15.6% และกลับมาครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของธุรกิจปิ้งย่างได้ โดยกินส่วนแบ่งอยู่ที่ 55% นี่คือผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เราได้มาจากความทุ่มเทและความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร ไม่ใช่แค่สินค้าเราดี แต่ต้องมีคนที่ดีมาช่วยเราขายด้วย” เธอสรุปทิ้งท้าย

ล่าสุดพวกเขาเพิ่งประกาศปรับโฉมองค์กรครั้งใหญ่ โดยการเปลี่ยนชื่อจาก “บริษัท เดอะบาร์บีคิวพลาซ่า จำกัด” มาเป็น “บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด” เพื่อสะท้อนความเชื่อและปรัญชาในการดำเนินธุรกิจที่มีจุดเริ่มต้นจากความรักในอาหารและความเชื่อในเรื่องของการดูแลให้ทุกคนมีความสุข ไม่ว่าจะ พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า และสังคม โดยใช้อาหารเป็นสื่อกลาง โดยหวังขับเคลื่อนธุรกิจในเครือที่มีทั้ง แบรนด์ บาร์บีคิวพลาซ่า จุ่มแซ่บฮัท ฮ็อทสตาร์ และแบรนด์ใหม่ที่เตรียมเปิดตัวในปีนี้อีก 1 แบรนด์ พวกเขาตั้งเป้าว่า ภายหลังปรับโครงสร้างองค์กร จะช่วยทำให้แต่ละแบรนด์สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ และส่งผลให้การเติบโตในภาพรวมเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 100% หรือไปถึงเป้า 6,000 ล้านบาท! ได้ภายใน 3 ปี (พ.ศ. 2561) 

และนี่คือตัวอย่างธุรกิจที่เชื่อในเรื่อง “คน” และ “ความสุข” แล้วใช้สองสิ่งนี้มาสร้างความสำเร็จให้กับพวกเขา