‘ธนภัทร เหมังกร’ จากธุรกิจพิมพ์ผ้า สู่ ซีอีโอ ’อู่ต่อเรือ’

‘ธนภัทร เหมังกร’ จากธุรกิจพิมพ์ผ้า สู่ ซีอีโอ ’อู่ต่อเรือ’

เปลี่ยนผ่านธุรกิจพิมพ์ผ้าสู่อู่ต่อเรือ 'ธนภัทร เหมังกร' ซีอีโอ 'ซีเครสท์ มารีน' ทำธุรกิจบนพื้นฐานความเป็นไปได้ (Make sense) ท้าชนตลาดต่อเรือโลก

ซีอีโอธุรกิจต่อเรือ อย่าง “ธนภัทร เหมังกร” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีเครสท์ มารีน จำกัด เจ้าของอู่ต่อเรือ เขายังเต็มไปด้วยไฟฝันไล่ล่าความสำเร็จ โดยมีเป้าหมายจะนำธุรกิจอู่ต่อเรือสัญชาติไทยไปปักธงในต่างแดน

ที่วันนี้เขาการันตีว่า ประสบการณ์ต่อเรือมานาน พร้อมที่จะต่อกรกับอู่ต่อเรือในต่างประเทศ อย่างไม่มีคำว่า “ใหญ่” หรือ “เล็ก”

“เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ผู้ใหญ่ให้ทำอะไรก็ทำ เป็นลูกชายคนเล็กใช้ง่ายที่สุด เขาให้เราให้ทำ ก็ทำ ไม่เคยปฏิเสธ" ธนภัทร เผย

จุดเริ่มต้นจากความรู้ด้านวิศวกรรม กลายเป็น “ประตู” เปิดกว้างความรู้ในการพัฒนาเทคนิคการพิมพ์ผ้า ลวดลาย และการบริหารการตลาด พาธุรกิจเป็นหนึ่งในเซียนผ้าย่านสำเพ็ง 

ธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง จนขยายกิจการสู่โรงงานขนาดใหญ่ขึ้น แม้ในยุคที่ธุรกิจสิ่งทอจะอาทิตย์ตกดิน พากันปิดกิจการตามค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น  

ทว่า ธุรกิจพิมพ์ผ้าของครอบครัวยังอยู่รอด แถมเติบโตจนทุกวันนี้ ไปพร้อมกับขยายธุรกิจไปสู่การผลิต“รองเท้า”จากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ขายไปยังชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมา ลาว กัมพูชา 

ด้วยความที่เลือกทำธุรกิจเฉพาะกลุ่ม จับตลาดลูกค้าฐานราก ทั้งสิ่งทอและรองเท้า ทำให้ธุรกิจครอบครัวประคองตัวมาได้

จนวันหนึ่ง เถ้าแก่คนนี้ ก็ถามหาความท้าทายใหม่...!!!

“เริ่มเบื่อธุรกิจพิมพ์ผ้าและรองเท้าเพราะเรารู้หมดแล้ว จึงยกให้พี่สาวดูแล ตัวเองก็ไปหาความท้าทายใหม่ จนมาลงเอยที่การฟื้นธุรกิจรุ่นอากง (ปู่) นั่นคือทำอู่ต่อเรือ"

โดยเริ่มต้นธุรกิจนี้ จากการมีที่ดินริมแม่เจ้าพระยาย่านคลองสาน บวกกับมีความรู้เดิม และมีคนงานของปู่ เป็นรากฐานำสำคัญทำให้ธุรกิจ “ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์”

เขาเล่าว่า ธุรกิจอู่ต่อเรือของครอบครัวเริ่มเรียนรู้จากการซ่อมเรือให้หน่วยงานราชการ โดยเข้าประมูลงานตามปกติ จากเรือทำจากไม้ก็ขยับไปเป็นเรือที่ทำจากวัสดุอื่นๆ ทั้งไฟเบอร์ และอลูมิเนียม ทำให้เริ่มชำนาญและต่อเรือได้ทุกวัสดุเรือ

“งานทุกชิ้นจะต้องเรียนรู้ใหม่หมดทุกวัน ขึ้นชื่อว่าต่อเรือจะไม่แยกประเภทเรือ”

 

บริษัทต่อเรืออของเขา ยังเริ่มเข้าไปประมูลงานซ่อมเรือในหน่วยงานราชการ ทำให้สัดส่วนงานประมูลงานภาครัฐค่อยๆเพิ่มขึ้นจาก 10-15% เป็น 80-90%ของงบต่อเรือ 

เมื่อกิจการเริ่มขยายตัว จึงย้ายโรงงานต่อเรือไปยังพื้นที่ 6 ไร่ บริเวณปากอ่าว จ.สมุทรปราการ

เขาบอกว่า จุดแข็งของอู่ต่อเรือ ซีเครสท์ มารีน คือ เถ้าแก่อย่างเขาต้องทำงานต่างประเทศเอง ทำให้มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับอู่ต่อเรือทั่วโลก ทั้งยุโรป สหรัฐฯ สิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น  เรียกว่า ประเทศไหนที่เป็นหนึ่งด้านการต่อเรือก็จะต้องไปศึกษาเทคนิค

ธนภัทร ยังบอกว่า เสน่ห์ของการต่อเรืออยู่ตรงที่ “การท้าทายตัวเอง” ในการพัฒนาเทคนิคเมื่อนำเรือไปทดลองทำความเร็วให้เร็วกว่าที่ลูกค้ากำหนด เช่น ต่อเรือเป้าหมายใช้กำลัง 12 น็อต และแรงดึง 30 ตัน แต่เมื่อทดลองแล้ว ปรากฎว่า ทำได้เกินเป้า 13 น็อต และแรงดึง 40 ตัน ก็ทำให้เขามีความสุข ขณะที่ลูกค้าก็พอใจ

ธนภัทร ยังมองว่า จุดแข็งของอู่ต่อเรือไทยที่แตกต่างจาก คู่แข่งในเอเชีย อย่างจีน และสิงคโปร์ คือ ราคาที่แข่งขันได้แต่ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป ขณะที่การออกแบบมีศิลปะ ควบคุมแบบได้ตามใจลูกค้า โดยมีเถ้าแก่ธนภัทร เป็นคนจัดหาวัสดุอุปกรณ์และออกแบบให้ตรงตามความต้องการลูกค้า บนความเป็นไปได้ (Make Sense) ของการดำเนินการ

 

“จริงๆ ผมก็ไม่รู้ทั้งหมด แต่ก็ใช้สิ่งที่เรียนมาคิดในเชิงโครงสร้าง มองสิ่งที่เห็นว่า Make Sense ทุกชิ้นส่วนอุปกรณ์ ต้องมองถึงคุณค่าว่าวางจุดนี้แล้วเดินต่อไปอย่างไร สิ่งนั้นมันใช่เหรอ ทุกชิ้นต้องมีคำอธิบายว่าถูกไหม ต้องมีความเป็นไปได้”

ประสบการณ์การเดินทางไปเรียนรู้เทคนิคระดับโลก ยังทำให้เขานำเทคโนโลยีซอฟแวร์มาใช้กับการออกแบบเรือ 3 มิติ วางระบบไว้หมด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุอะไหล่ อุปกรณ์ต่างๆในเรือ ที่จะมีมากถึง 2,000-3,000 ชิ้น ทำให้เขาต้องคิดและจัดวางอย่างเป็นระบบได้ในเรือลำเดียว และแจกจ่ายงานให้วิศวกรในส่วนต่างๆ ไปทำตามภาพ

เพราะรูปภาพเป็นคำอธิบายและมีค่ามากกว่าคำพูดร้อยพันเท่า (A picture is worth a thousand words) นั่นทำให้ระบบการลองผิดลองถูกตัดแปะก่อนแล้วแก้ทีหลังได้รับการแก้ปัญหาและพัฒนากลไกเทคนิค ผลมาจากการเรียนรู้และปรับตัวนำเทคโนโลยีมาช่วยการผลิต

“การไปดูงานจากต่างประเทศ ก็ได้เอามาใช้ หากไม่ปรับตัวก็สู้คนอื่นไม่ได้ หากไม่ทำแบบนี้ ก็ต้องทำเรือต่อธรรมดาไปตลอด ค่าแรงแพงขึ้นก็ต้องพัฒนาเทคโนโลยีตาม เรือบางชนิดตัดแปะตลอดไม่ได้ จะต้องพัฒนาโครงสร้างทีละจุดแล้วกระจายงานให้กับวิศวกรแต่ละส่วน เช่น ส่วนห้องพัก เครื่องกำเนิดไฟฟ้า สวิตซ์บอร์ด”

จนปัจจุบันบริษัทเขาต่อเรือไปแล้วทั้งสิ้น 50-60 ลำ มีรายได้สะสมรอการรับรู้ (แบ็กล็อก)มูลค่า 1,500 ล้านบาท เขายังคาดว่าแบ็กล็อก จะเข้ามาในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 800-1,000 ล้านบาท ทำให้รายได้เติบโตปีละ 20% หรือภายใน 5 ปี รายได้จะก้าวกระโดดไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท

ภายใน1-2 ปีนี้ เขายังมีแผนจะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) เพื่อนำเงินระดมทุนไปขยายกิจการในต่างประเทศมากขึ้น

ทั้งนี้ ผลงานชิ้นใหญ่ที่เข้ามาจะผลักดันให้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด คือการรับงานต่อเรือขนาดใหญ่จากลูกค้าดูไบ ถือเป็นโชว์เคสสำคัญที่จะนำเรือที่ต่อโดยคนไทยไปแล่นบนอ่าวดูไบ ย่านมหาเศรษฐี ที่พันธมิตรจะนำเรือลำนี้ ไปโฉบเฉี่ยวยั่วมหาเศรษฐีดูไบ ให้สั่งซื้อ '

นั่นเท่ากับว่า ในอนาคตงานต่อเรือให้กับลูกค้าต่างชาติจะเพิ่มมากขึ้น

โดยเขาเชื่อว่าจะแข่งขันได้กับอู่ต่อเรือในสิงคโปร์ ประเทศที่เต็มไปด้วยท่าเรือ ทว่า ต้นทุนต่อเรือค่อนข้างแพงบวกกับพื้นที่จำกัด จึงเปิดทางให้บริษัทไทย ก้าวไปแข่งงานประมูล เรือช่วยชีวิตที่ใช้ในสนามบินที่ตั้งอยู่กลางทะเล ซึ่งขณะนี้รัฐบาลสิงคโปร์กำลังเปิดประมูล

“เราคือบริษัทคนไทยรายเดียวที่บริษัทในสิงคโปร์นำประวัติต่อเรือส่งเข้าประกวดราคาแข่งกันกับบริษัทต่อเรือสัญชาติสิงคโปร์อีก 2 ราย”