ยันไทยเป็นตัวเลือกอันดับต้น สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น

ยันไทยเป็นตัวเลือกอันดับต้น สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น

นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ยืนยันนักลงทุนญี่ปุ่นยังเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออก เหตุเชื่อมั่นแรงงานไทยมีชื่อด้านงานฝีมือ

วานนี้ (18 ม.ค.) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับโครงการสัมมนาวิชาการญี่ปุ่นศึกษา ได้จัดงานสัมมนาวิชาการ ในหัวข้อเรื่อง “การลงทุนโดยตรงจากญี่ปุ่นหลังวิกฤติ 40 : การเปลี่ยนแปลงและนัยยะต่อประเทศไทย”

ผศ.ดร.พีระ เจริญพร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่นมีความสามารถในการขยายตลาด มีการเปิดเสรีการค้า ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นมาลงทุนในไทยมากขึ้น จนกระทั้งเกิดวิกฤติ 40 การลงทุนจากญี่ปุ่นมีการชะลอตัว จนถึงปี 2005 มาปี 2008 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบต่อการลงทุนไปทั่วโลก และปี 2011 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุ่นแรงในประเทศญี่ปุ่นทำให้ส่งผลกระทบไปในประเทศฐานผลิตอื่นๆ การลงทุนเริ่มขยายตัวและสูงที่สุดของการลงทุนในไทยและอาเซียนในปี 2013

“ประเทศไทยเจอวิกฤติมากมายทั้งความไม่แน่นอนของการเมือง ขาดแคลนแรงงาน ค่าแรงแพงขึ้น และเกิดภัยธรรมชาติ ทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกและลังเลที่จะเข้ามา แต่ญี่ปุ่นก็เลือกที่จะมาลงทุนในประเทศไทย เพื่อที่จะหาฐานผลิต เพราะแรงงานไทยมีชื่อด้านงานฝีมือและมีความละเอียดอ่อน” ผศ.ดร.พีระ ระบุ

ผศ.ดร.พีระ กล่าวต่อว่า นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก ทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาเรื่องอุปสงค์ (Demand) ส่งผลให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้การลงทุนจากญี่ปุ่นต้องชะงัก หลังจากผ่านวิกฤติญี่ปุ่นต้องปรับฐานการผลิตส่งออก เนื่องจากความอ่อนตัวของค่าเงินเยน อีกทั้งประเทศไทยในขณะนั้น มีการยกเลิกเงื่อนไขการถือครองหุ่น ยิ่งดึงดูดนักลงทุนเข้ามา แม้ค่าเงินของญี่ปุ่นจะอ่อนค่า เพราะทรัพยากรทางการเงินเพิ่มขึ้น ความต้องการประเทศญี่ปุ่นลดลง อีกทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นส่งเสริมการย้ายฐานผลิตออกไปยังต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนหันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยกันมากขึ้นก่อนที่ค่าเงินเยนจะอ่อนลงกว่าเดิม


“ธุรกิจของประเทศญี่ปุ่นมีการเติบโตอย่างมากในเอเชีย ทั้งในจีนและอาเซียนถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดโลกของสินค้าและสินค้าอุตสาหกรรมจากประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเป็นสาเหตุหนึ่งของการเจริญเติบโตของการลงทุนจากนักลงทุนญี่ปุ่น แต่อาจจะไม่เป็นที่นิยมเท่าเดิม” ผศ.ดร.พีระ กล่าว

ผศ.ดร พีระ กล่าวเพิ่มอีกว่า สำหรับข้อเสนอแนะทางนโยบายเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ Thailand Plus One คือ เพิ่มความสำคัญในขั้นตอนการผลิตหรือชิ้นส่วนที่ใช้ทักษะแรงงานสูงและมีความซับซ้อน ส่งเสริมการศึกษาและทักษะของประเทศไทย ส่งเสริมเครือข่ายการผลิตระหว่างประเทศกับประเทศในลุ่มน้ำโขง ส่งเสริมการออกไปลงทุนในประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงของผู้ผลิตไทย อีกทั้งยังต้องมุ่งเน้นยุทธศาสตร์การสร้างผลิตภัณฑ์โดยการหาจุดแข็งและการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของกติกาการค้าในภูมิภาค

ด้าน รศ.ดร.สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.บงกช อนุโรจน์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI ได้วิจารณ์บทความของ ผศ.ดร.พีระ เจริญพร ว่า รายงานวันนี้มีข้อมูลที่ละเอียดและการวิเคราะห์ที่ชัดเจนรอบด้าน มีการสรุปและการพูดถึงประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับการลงทุน ครอบคลุมเนื้อหาค่อนข้างมากมีการสอดแทรกข้อสังเกตต่างๆ แต่สิ่งที่รายงานฉบับนี้ควรแก้ไขคือเนื้อจากมีข้อมูลมาก ทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานอาจศึกษาตามไม่ทัน ควรจะมีบทสรุปปิดท้ายรายงายหรือในแต่ละหัวข้อควรสรุปประเด็นหลักๆให้ผู้อ่าน และในหัวข้อการลงทุนของอาเซียน กับ การลงทุนในไทยควรมีการเปรียบเทียบให้เห็นข้อแตกต่างให้ชัดเจนกว่าเดิม