'ดัชนีเหวี่ยง' นิยามหุ้นไทยปี 59 'วิน พรหมแพทย์'

'ดัชนีเหวี่ยง' นิยามหุ้นไทยปี 59 'วิน พรหมแพทย์'

หุ้นไทยผันผวน กดผลตอบแทนปีนี้ 'ต่ำกว่าเลขสองหลัก' มุมมอง 'วิน พรหมแพทย์' ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล

จากที่เคยโกยผลตอบแทนจากตลาดหุ้นบน 'ตัวเลขสองหลัก' แต่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา (2557-2558) หุ้นไทยตกอยู่ในอาการผันผวนหนัก เป็นเหตุให้นักลงทุนไทยต้องกระจายความเสี่ยงของพอร์ต จากเล่นหุ้นไทยมุ่งหน้าสู่กองทุนหุ้นต่างประเทศ หรือหันไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ตามสตอรี่รายวันแก้ขัด

'ตลาดหุ้นไทยในปี 2559 ยังคงตกอยู่ในสถานะผันผวนต่อไป' 

'วิน พรหมแพทย์' ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล นายใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาดูแลเรื่องการลงทุน เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา บอกกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' 

ก่อนจะบอกถึงเหตุผล 'หนุ่มวัย 39ปี' เล่าเส้นทางชีวิตให้ฟังว่า เขาและน้องสาวที่อายุห่างกัน 4 ปี เกิดและเติบโตอยู่บนเส้นทางการเงินมาตั้งแต่วัยเยาว์ หลังพ่อและแม่ที่เป็นคนจังหวัดลพบุรี ทำงานอยู่ในธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส.

ด้วยความที่ซึมซับเรื่องการเงินมานาน บวกกับมีความสนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์ ทำให้มีโอกาสอ่านหนังสือการเงินหลากหลายเล่ม และมีความชื่นชอบ 'กรณ์ จาติกวณิช' เพราะท่านสามารถสร้างบริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด จนมีชื่อเสียงโดดดัง 

เมื่อเกิดความรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจสอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ระดับปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากเดิมที่ตั้งใจจะสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์

หลังจบการศึกษามีโอกาสเข้าไปเรียนรู้ชีวิตชาวชนบท จังหวัดลำปางนาน 1 ปี ผ่านสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร ซึ่งเป็นหน่วยงานของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ก่อตั้งขึ้นตามดำริของศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดี จากนั้นก็สามารถสอบชิงทุนรัฐบาล (ก.พ.) ในระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจ จาก Rotterdam School of Management, Erasmus University ประเทศเนเธอร์แลนด์

เมื่อสำเร็จการศึกษาในปี 2545 ก็กลับมาทำงานใช้ทุนในสำนักงานประกันสังคม จริงๆต้องทำงานใช้ทุนแค่ 3 ปี แต่สุดท้ายนั่งทำงานนานถึง 13 ปี นั่นเป็นเพราะชื่นชอบงานด้านการลงทุน ก่อนผมเข้ามาทำงานพอร์ตลงทุนของสำนักประกันสังคม ขยายตัวต่อปีไม่มากเท่าไร เพราะเงินส่วนใหญ่อยู่ในรูปของเงินฝาก และพันธบัตร สัดส่วน 50:50

แต่เมื่อผมเข้ามาเดินกลยุทธ์กระจายการลงทุนให้มีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการนำเงินไปลงทุนใน หุ้นกู้เอกชน หุ้นสามัญ พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ และหุ้นต่างประเทศ พอร์ตลลงทุนก็ค่อยๆขยับขึ้น ซึ่งผู้ใหญ่ในยุคนั้นเชื่อว่า เทรนดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลง และรัฐอาจลดการคุ้มครองเงินฝาก ท่านจึงเปิดโอกาสให้ผมทำงานอย่างเต็มที่

ผ่านมา 10 ปี พอร์ตลงทุนของสำนักงานประกันสังคม เติบโตจาก 'แสนล้าน' เป็น 1.3 ล้านล้านบาท เฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท เหตุผลที่พอร์ตขยายตัว เกิดจากการได้รับเงินสมบทของผู้ประกันตนที่เข้ามาปีละหลายหมื่นล้านบาท และเกิดจากดอกผลของการลงทุนในตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ ตอนลาออกสามารถสร้างดอกผลจากการลงทุนได้ 4 หมื่นกว่าล้านบาทต่อปี

'การลงทุนของสำนักงานประกันสังคม ส่วนใหญ่เน้นหุ้นกลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มสื่อสาร ซึ่งกลุ่มนี้เมื่อก่อนราคาจะเหวี่ยงน้อยกว่ากลุ่มพลังงาน และแบงก์'

ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานลงทุนและรองโฆษก คือ งานสุดท้ายที่นั่งทำในสำนักงานประกันสังคม ก่อนจะย้ายมานั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เมื่อ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังผู้ใหญ่จากองค์กรแห่งนี้ทาบทามให้มาทำงาน สไตล์เน้นลงทุนหุ้นรายตัวของผมตรงกับความต้องการของบริษัท

'องค์กรแห่งนี้ผสมผสานคนสองรุ่นได้อย่างลงตัว ผมชอบทีมลักษณะนี้' 

เขา เล่าว่า ก่อนจะโยกมาอยู่ที่นี่เคยมีแนวคิดอยากแยกเรื่องการลงทุนของสำนักงานประกันสังคมออกจากการเป็นหน่วยงานของรัฐ เพื่อความคล่องตัว ซึ่งพยายามทำมานานหลายปี แต่ไม่สำเร็จ ทำให้ตัดสินใจขอผู้ใหญ่ออกมาเรียนรู้งานกับเอกชน เพราะอยากรู้ว่าระบบเอกชนเป็นเช่นไร

ช่วงที่เข้ามาทำงานในบริษัทแห่งนี้ใหม่ๆ พบว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2558 บริษัทสามารถสร้างส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของกองทุนหุ้นกับดัชนีอ้างอิงได้สูงเกือบ 10% หลังกองทุนหุ้นเลือกซื้อหุ้นรายตัวได้ถูกต้อง

ขณะที่การลงทุนในกองตราสารหนี้ของเรายังติดอันดับท็อปไฟว์ ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งการลงทุนในกองทุนทางเลือกยังติดอันดับหนึ่งทั้งๆที่ตลาดหุ้นติดลบ ซึ่งเข้ามาทำงานครั้งนี้ ถือว่าเข้ามาถูกจังหวะ ดังนั้นหน้าที่ของผมต่อจากนี้ คือ รักษาผลตอบแทนให้ดีอย่างต่อเนื่อง และรักษาทีม รวมถึงสร้างทีมดีๆ ต่อไป

เมื่อถามถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2559 'ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน' วิเคราะห์ให้ฟังว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2558 จนตลอดปี 2559 การลงทุนในทุกกลุ่มหลักทรัพย์มีโอกาสสร้างผลตอบแทนคาดหวังในระดับ 'ต่ำ' เมื่อเทียบกับในช่วง 10 ปีก่อนที่นักลงทุนมักได้รับผลตอบแทนจากลงทุนในตลาดหุ้นเป็น 'ตัวเลขหลัก' และผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ย 4-5% รวมถึงผลตอบแทนจากกองทุนเพอร์ตี้ฟันด์เฉลี่ย 8-9%

สาเหตุที่ปัจจุบันผลตอบแทนหลากหลายสินทรัพย์ปรับตัวลดลง เช่น ดอกเบี้ยเงินเหลือฝาก 1% กว่า หุ้นไทย 8-10% ต่อปี และกองทุนเพอร์ตี้ฟันด์ 6-8% ต่อปี เกิดจากดอกเบี้ยทั่วโลกต่ำ และเงินในตลาดเหลือเยอะ ทำให้เงินถูกกระจายความเสี่ยงออกไปในหลายๆสินทรัพย์ ทำให้ราคาหลักทรัพย์บ้างตัวปรับตัวขึ้น แต่ผลตอบแทนต่ำ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วโลก

สำหรับสาเหตุที่จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวน เกิดจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% และปี 2559 มีแนวโน้มจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกเฉลี่ยไตรมาสละครั้ง ขณะที่ราคาน้ำมันยังมีโอกาสลงต่ำกว่านี้ หลังมีน้ำมันเหลือในตลาดค่อนข้างเยอะ ทำให้คนขายต้องลดราคา เพื่อระบายของ

'ราคาน้ำมันขาขึ้นอาจไปสุดที่ 60 เหรียญ ส่วนขาลงอาจต่ำกว่า 40 เหรียญต่อบาร์เรล หากเป็นเช่นนั้นแน่นอนหุ้นกลุ่มน้ำมันยังคงเจ็บหนักต่อไป' 

ขณะเดียวกันหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย จากการที่ประเทศจีนชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่ขยายตัวอย่างมาก ส่งผลให้เพื่อนบ้านที่เคยได้ประโยชน์จากการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ของเมืองจีนก่อนหน้านี้ได้รับความเดือดร้อนตามไปด้วย เช่น ประเทศราซิล รัสเซีย และออสเตรเลีย

ส่วนความกังวลที่ว่า นักท่องเที่ยวจีนจะมาเที่ยวเมืองไทยลดลง หลังเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ จนถึงวันนี้ไม่น่าห่วงแล้ว เพราะวันนี้นักท่องเที่ยวจีนยังคงเลือกมาเมืองไทยเหมือนเดิม ซึ่งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม หรือสนามบิน ต่างก็ได้รับผลดีถ้วนหน้า

'ปีก่อนต่อเนื่องมาถึงปีนี้ หุ้นกลุ่มพลังงาน และสื่อสาร ต่างพากันปรับตัวลดลง ฉะนั้นเมื่อเทรนราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในช่วงขาลง การลงทุนตามตลาด หรือหุ้นบลูชิพ คงไม่น่าสนใจ' 

'ผู้บริหารหนุ่ม' บอกว่า ดัชนีปี 2559 คงวิ่งไม่เกิน 1600 จุด สิ่งที่จะทำให้ไปไกลกว่านี้ คือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน หากรัฐบาลสามารถเร่งการประมูลและเบิกจ่ายงบประมาณการประมูลได้ตามนโยบายที่วางไว้ หุ้นไทยคงไปต่อ ซึ่งทุกคนรอคอยเรื่องนี้มานาน

สำหรับ 'เรื่องแก้ยาก' คือ รายได้ภาคเกษตรที่ตอนนี้ยังติดลบ และยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว ซึ่งรายได้ภาคเกษตรเป็นของคนกลุ่มใหญ่ในประเทศ ฉะนั้นหากยังไม่ฟื้นตัว การบริโภคก็คงไม่เกิด ส่วนตัวมองว่า รัฐคงแก้ไม่สร็จภายใน 1-2 ปีข้างหน้า

ส่วนเรื่องการท่องเที่ยว น่าจะยังดีอยู่ แต่ทางการต้องเข้ามาปรับเรื่องคุณภาพของนักท่องเที่ยว เช่น ทำอย่างไรให้เขาเที่ยวเมืองไทยนานขึ้น เป็นต้น ผมไม่อยากให้ทางการเน้นเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่าคุณภาพ

ในเรื่องของการส่งออก ระยะสั้นคงฟื้นตัวยาก เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกยังชะลอ แต่ความหวังของเมืองไทยอยู่ที่กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) ซึ่งแนวโน้มการค้าขายยังคงเติบโต ฉะนั้นผู้ประกอบการไทยต้องหันมาปรับวิธีการผลิต และการขนส่ง รวมถึงหันมาใช้ประโยชน์จากเออีซีมากขึ้น เพื่อความคล่องตัวในการทำธุรกิจ

'สินค้าประเภทเครื่องมือการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า และ สินค้าอุปโภคบริโภค ถือเป็นที่ต้องการของกลุ่ม CLMV และ AEC'

เมื่อถามถึง 'เรื่องท้าทาย' ของรัฐบาล เขาบอกว่า คงหนีไม่พ้นเรื่องของการสร้างคน ซึ่งตามนโยบายของทีมเศรษฐกิจไทย อยากเน้นเรื่องระบบไอทีมากขึ้น แต่วันนี้เมืองไทยยังไม่ส่งเสริมคนเก่งอย่างจริงนจัง ฉะนั้นหากจะสร้างคนเก่งคงต้องใช้เวลาหลายปี

ผมเคยอ่านหนังสือพบว่า ประเทศมาเลเซีย และจีน จะให้ทุนเด็กไปเรียนต่อด้านซอฟต์แวร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อจบการศึกษาจะให้ไปทำงานในองค์กรใหญ่ๆของสหรัฐ จากนั้นจะเรียกตัวกลับ เพื่อมาพัฒนาประเทศเกิดต่อไป

'คนเก่งเรื่องยานยนต์ เราก็ขาดแคลน เพราะคนไทยไม่ชอบเรียนช่าง ส่วนใหญ่ชอบเรียนระดับปริญญาตรีมากกว่า ฉะนั้นรัฐต้องเข้ามาแก้ทัศนคติ ยกตัวอย่าง ประเทศเยอรมันเขาจะส่งเสริมให้คนเรียนช่าง เมื่อจบแล้วจะให้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี' 

'หนุ่มวิน' ทิ้งท้ายว่า การลงทุนในปีนี้อยากให้นักลงทุนระมัดระวัง อย่าทุ่มเงินไปในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง แต่ต้องสร้างความสมดุล ด้วยการกระจายความเสี่ยง และอย่าตกใจอะไรมากเกินไป

                                                    'กำไรดี' เท่ากับ หุ้นต่างประเทศ
'ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน' เล่าถึงกลยุทธ์การลงทุนของบลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลว่า เราจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพราะเชื่อรัฐจะเร่งทำโครงการขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังเน้นลงทุนในกลุ่มค้าปลีกประเภทความสวยงาม กลุ่มการแพทย์ และกลุ่มประกัน

'เป้าหมายการบริหารกองทุนหุ้นของเรา คือ ต้องมีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10%' 

เมื่อถามถึงวิธีการเลือกหุ้น เขา อธิบายว่า เราจะเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มี 4 คุณสมบัติที่ดี ประกอบด้วย 1.บริษัทมีโอกาสเติบโตในแง่ของกำไรเฉลี่ย 15-20% 2.กระแสเงินสดดี 3.ผู้บริหารน่าไว้วางใจ 4.เป็นหุ้นที่ใครก็คาดไม่ถึงคนอื่นคิดไม่ถึง

อย่างในปีนี้เราเลือกลงทุนหุ้นรายตัวสองบริษัท นั่นคือ 1.กลุ่มรับเหมา ซึ่งหุ้นตัวนี้มีขนาดมาร์เก็ตแคปเล็กที่สุดในบรรดาผู้รับเหมาก่อสร้าง 4 รายใหญ่ของเมืองไทย ด้วยความที่เขามีขนาดเล็กนักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยสนใจ

แต่เรากลับมองตรงข้ามว่า เขาอาจมีศักยภาพในการยื่นประมูลโครงการอินฟราสตรัคเจอร์ของภาครัฐที่จะเปิดประมูลในปี 2559 ฉะนั้นถ้าบริษัทแห่งนี้ได้งานมาดำเนินงาน 1-2โครงการ ราคาหุ้นและผลประกอบการจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ผลปรากฎว่า 'เราตีโจทย์แตก' เพราะราคาหุ้นตัวนี้ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้กองทุนของเราสามารถทำกำไรได้ค่อนข้างมาก 2.กลุ่มค้าปลีก เราเลือกลงทุนหุ้นความงามตัวหนึ่ง ตอนแรกๆ นักลงทุนไม่ค่อยชอบ เพราะคนคิดถึงแต่หุ้นเครื่องสำอางอีกตัวหนึ่งที่เน้นขายคนไทย แต่เมื่อเราส่งทีมงานไปสำรวจตลาด พบว่า นักท่องเที่ยวเมืองจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย ต่างพากันไปซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อนี้ ฉะนั้นหุ้นความงานตัวนี้อาจมีหน้าตาคล้ายบริษัท amore pacific ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องสำอางเกาหลีแบรนด์ อีทูดี้ (Etude) ที่นักท่องเที่ยวที่บินไปเกาหลีต้องหอบเครื่องสำอางอีทูดี้กลับบ้าน 

ประเด็นนี้อินเวสเตอร์รายอื่นมองไม่เห็น แต่เราเห็นและเข้าไปซื้อลงทุน สุดท้ายหลังคนเริ่มเห็นราคาก็ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งการลงทุนลักษณะนี้ต้องกล้าตัดสินใจอย่างมาก และต้องวิเคราะห์อย่างรอบคอบ

เมื่อเลือกหุ้นได้แล้วเราจะนำมาแชร์ร่วมกันในทีมงานอินเวสเมนท์ที่มีอยู่ 20 คน แต่ดูเรื่องหุ้นรายตัว 4 คน ก่อนจะเขียนอีเมล์เล่าเรื่องหุ้นตัวนี้ส่งไปให้ทีมต่างประเทศในสำนักงานของประเทศสิงค์โปร์ และเมืองจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นตอกย้ำว่า เราคิดถูกหรือไม่ เพื่อให้งานมันออกมาคมที่สุด

ถามถึงคำแนะนำการลงทุนในปี 2559 เขา ตอบว่า เรายังคงเชียร์ให้นักลงทุนวัยหนุ่มสาวจนถึงอายุ 45 ปี ลงทุนในกองทุนหุ้นรายตัว 70% แบ่งเป็นกองทุนหุ้นไทย และกองทุนหุ้นต่างประเทศ โดยให้ทิ้งน้ำหนักไปที่ 'หุ้นต่างประเทศ' มากกว่าหุ้นไทย เพราะหุ้นไทยยังผันผวน แต่หุ้นต่างประเทศมีโอกาสเติบโตดีกว่า ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในตราสารหนี้อายุ 3-6 เดือน

เราแนะนำให้ลงทุนใน กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล โกลบอล ซิลเวอร์ เอจ ซึ่งกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในหุ้นที่อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และจะได้ประโยชน์จากคนเกษียณที่ยังคงรักสวยรักงาม

นอกจากนั้นยังแนะนำให้ซื้อกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ยูโรเปี้ยน อิควิตี้ โดยกองทุนนี้จะได้รับผลประโยชน์ จากการทำคิวอีของธนาคารกลางยุโรป และราคาน้ำมันที่ถูกลงจะทำให้คนยุโรปใช้เงินมากขึ้น สองเดือนแรกของปีนี้ เราเตรียมออกกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล โกลบอล อินฟราสตรัค

'วัยเกษียณควรมีหุ้นในมือ 10-20% เพราะการลงทุนในตลาดหุ้นจะช่วยให้เงินลงทุนชนะเงินเฟ้อที่ในอนาคตจะยืนระดับ 2-3% จากปัจจุบันที่ติดลบ' หนุ่มวิน เชื่อเช่นนั้น