'หาจุดซื้อยาก' เหตุ 'ขาใหญ่' เงินโตน้อย

'หาจุดซื้อยาก' เหตุ 'ขาใหญ่' เงินโตน้อย

ดัชนีปี 2558 ซึมหาจุดทำกำไรยาก 'ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร' สร้างผลตอบแทนดีสุดแค่ 'เสมอตัว' ฟาก 'เสี่ยป๋อง-วัชระ' เซียนเทคนิค รับพอร์ต 'ติดลบ'

ตลาดหุ้นไม่เสถียรภาพ หลังเศรษฐกิจไทยตลอดปี 2558 ซบเซา เมื่อเหล่านักลงทุนต้องเล่นหุ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนเช่นนั้น ผลตอบแทนทั้งปีจะมีหน้าตาเช่นไร

'ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร' ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย (VI) เล่าให้ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' ฟังว่า ด้วยความที่ตลาดหุ้นไทยปี 2558 ไร้สีสัน ทำให้การลงทุนทำได้ยากกว่าเดิม ส่งผลให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้เพียง 'เสมอตัว' 

'ไม่มีจุดเข้าลงทุน ไม่มีจุดทำกำไร ตลาดหุ้นไทยปีนี้เป็นแบบนี้'

การลงทุนในปี 2558 แทบจะหา 'หุ้นมูลค่า' (Value Stock) ไม่ได้เลย หุ้นที่มีคุณภาพดีพื้นฐานแกร่ง ก็ยังมีราคาสูง ส่วนหุ้น 'เก็งกำไร' ก็ยังมีเยอะ ซึ่งหุ้นเก็งกำไรบางตัวราคาหุ้นยังไม่ปรับลงตามตลาด ทำให้นักลงทุนไม่สามารถเข้าไปซื้อทำกำไรได้ หลายคนผิดหวังและเจ็บตัวหนัก เพราะว่าคาดหวังผลตอบแทนไว้สูงมาก

ขณะเดียวที่ 'หุ้นบิ๊กแคป' ก็ประสบปัญหาในธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะ 'กลุ่มพลังงาน' และ 'กลุ่มน้ำมัน' เช่น หุ้น ปตท.หรือ PTT ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างหนัก

หรือแม้กระทั่ง 'กลุ่มธนาคาร' ที่เจอปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้น 'หุ้นกลุ่มสื่อสาร' ที่อยู่ระหว่างประมูลโครงข่าย 4G ที่อาจได้รับผลกระทบจากใบอนุญาตที่มีราคาสูง เป็นต้น 

ลักษณะของดัชนีในปี 2558 ออกแนวค่อยๆ ซึมลงเรื่อยๆ ไม่ได้ขึ้นเร็วลงเร็ว ทำให้นักลงทุนหาจังหวะเข้าไปเล่นเก็งกำไรยากมาก ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ชอบตลาดหุ้นลักษณะนี้ ยิ่งเป็นนักลงทุนเทรดเดอร์ยิ่งเหนื่อย

'เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน' วิเคราะห์ตลาดหุ้นในปี 2559 ว่า หากดูจากดัชนีที่ปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากในปี 2558 เชื่อว่าในปีหน้าดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้น แต่ยังไม่เป็นตลาดหุ้นในช่วง 'ขาขึ้น' ในลักษณะยาวๆ ระหว่างทางดัชนีอาจปรับตัวลดลงมา เราจะยังไม่เห็นตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดกระทิง และยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง

อย่างไรก็ตามปี 2559 จะเป็นปีแห่งการลงทุนจริงๆ ฉะนั้นจงตามหาหุ้นพื้นฐานดี ผลประกอบการแข็งแกร่ง และธุรกิจเติบโต เพื่อลงทุนระยะยาว และรอรับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล โดยกลยุทธ์การลงทุนให้เลือกลงทุนหุ้นรายตัว และเป็นหุ้นที่ปลอดภัย

ปัจจุบันราคาหุ้นบิ๊กแคปหลายตัวปรับลดลงมามากแล้ว ถือเป็นโอกาสเข้าไปลงทุนซึ่งหุ้นที่ยังสามารถลงทุนได้จะเป็นหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ เช่น 'กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อสาร' เป็นต้น

ทั้งนี้ควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน คือ ตลาดหุ้นไทย 70% เงินสด 20-25% และตลาดหุ้นต่างประเทศ 5% ถือเป็นกระจายพอร์ตลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนไม่สูง เมื่อเทียบกับในอดีต

จากการสำรวจการครอบครองหุ้นของ 'ดร.นิเวศน์' พบว่า ในปี 2558 มีหุ้นในพอร์ตหลากหลายตัว เช่น หุ้น บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ หรือ BAFS จำนวน 5,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.78% หุ้น จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก หรือ EASTW จำนวน 10,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.60% หุ้น มูราโมโต้ อีเล็คตรอน หรือ METCO จำนวน 120,000 หุ้น คิดเป็น 0.57% หุ้น ทุนธนชาต หรือ TCAP จำนวน 7,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.55%

'เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล' เจ้าของพอร์ตหุ้นหลักพันล้าน เล่าให้ฟังว่า ปี 2558 ผลตอบแทนจากการลงทุน 'บวกเล็กน้อย' เนื่องจากหุ้นหลายตัวในพอร์ตที่ถือลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น

แม้ว่าพอร์ตจะเสียหายจาก หุ้น เซ็ปเป้ หรือ SAPPE เล็กน้อยก็ตาม หลังราคาหุ้นปรับลดลง และผลประกอบการปี 2558 อาจลดลง 20% ส่วนตัวมองว่า แนวโน้มธุรกิจยังมีทิศทางเติบโต สุดท้ายราคาหุ้นต้องปรับตัวขึ้นมา

สำหรับ 'หุ้นดาวเด่น' ที่ทำพอร์ตขยายตัว คือ หุ้น ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 หรือ SAWAD เนื่องจากได้มาตั้งแต่ราคาไอพีโอ 6.90 บาท ส่วนตัวมองว่า ราคาหุ้นอาจปรับตัวขึ้นไปถึง 10 บาท

นอกจากนั้นยังมี หุ้น ทรัพย์ศรีไทย หรือ SST และหุ้น เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ หรือ WORK ที่มีต้นทุนราคา 20 บาท รวมถึง หุ้น ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA

'ยังคงลงทุนในตลาดหุ้นไทย 100% แต่หากมีโอกาสอยากจะกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในตลาดอื่นๆ หากตลาดหุ้นไทยไม่ดี พอร์ตจะไม่เสียหายมาก'

'เสี่ยปู่' เชื่อว่า ตลาดหุ้นปี 2559 ยังอยู่ในภาวะ 'ผันผวน' อย่างต่อเนื่อง แต่แนวโน้มจะ 'รีบาวน์' จากปี 2558 ที่ตลาดหุ้นลดลงมามาก ประกอบกับปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น หลังภาครัฐมีการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้บ้าง

สำหรับหุ้นที่ลงทุนได้ คือ 'กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง' เช่น หุ้น ช.การช่าง หรือ CK เนื่องจากปีหน้าบริษัทอาจได้งานขนาดใหญ่เพิ่มเติม 'กลุ่มสื่อสาร' เช่น หุ้น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC เพราะปัจจุบันราคาหุ้นปรับลดลงมาเยอะ หลังใบอนุญาต ประมูล 4G มีราคาสูงกว่าคาด ทำให้ต้นทุนของเอกชนสูงขึ้น แต่มองว่าจะกระทบเพียงระยะสั้น

'กลยุทธ์การลงทุนให้เลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวที่มีผลประกอบการเติบโต ทั้งในแง่ของรายได้กำไร และมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ'

ในปี 2558 'เสี่ยปู่' ถือหุ้น เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ APX จำนวน 67,500,000 หุ้น คิดเป็น 2.91% หุ้น บ้านร็อคการ์เด้น หรือ BROCK จำนวน 41,900,000 หุ้น คิดเป็น 6.40% หุ้น ซี.ไอ.กรุ๊ป หรือ CIG จำนวน 41,900,000 หุ้น คิดเป็น 4.85% หุ้น เด็มโก้ หรือ DEMCO จำนวน 5,624,600 หุ้น คิดเป็น 0.77% หุ้น เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) หรือ SIS จำนวน 10,684,900 หุ้น คิดเป็น 3.05% หุ้น ทรัพย์ศรีไทย หรือ SST จำนวน 6,150,000 หุ้น คิดเป็น 2.18% หุ้น ราชธานีลิสซิ่ง หรือ THANI จำนวน 96,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.77%

'เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง' เซียนหุ้นเทคนิค บอกว่า ผลตอบแทนปี 2558 'ติดลบประมาณ 1%' ของมูลค่าพอร์ต เนื่องจากลงทุนยากกว่าที่คิด เมื่อต้นปีมองว่า ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวดีขึ้น จากปี 2557 แต่ในความเป็นจริงสถานการณ์ตกต่ำกว่าที่มองไว้

'ปีนี้ลงทุนยาก หาจังหวะเข้าลงทุนไม่ได้ ยิ่งเป็นการลงทุนระยะสั้น แทบไม่สามารถหวังผลตอบแทนได้ในระดับสูง'

อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นปี 2559 SET INDEX น่าจะอยู่ในกรอบ 1,350-1,450 จุด ซึ่งการลงทุนน่าจะดีขึ้นกว่าปีนี้ และดัชนีจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่กลยุทธ์การลงทุนยังต้องเป็นแบบ 'เล่นระยะสั้น' 

สำหรับหุ้นที่ยังมีความน่าสนใจจะเป็นหุ้นที่เกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ แน่นอนคงหนีไม่พ้น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เพราะว่าในปีหน้าภาครัฐจะอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัจจุบันถือว่า ภาครัฐเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะเครื่องยนต์ตัวอื่นๆดับหมดแล้ว

ทว่าในปี 2559 ยังมีปัจจัยที่กระทบกับการลงทุนในตลาดหุ้น คือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลกลับไปลงทุนในตลาดที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า ดังนั้นอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง แต่ที่สำคัญเหนือเรื่องใด คือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ถ้ากลับมาตลาดหุ้นก็มา

'เลือกลงทุนหุ้นรายตัว หรือรายกลุ่ม ยังสามารถให้ผลตอบแทนได้'

จากการสำรวจการครอบครองหุ้นของ 'เสี่ยป๋อง' ในปี 2558 พบการซื้อหุ้นหลากหลายกลุ่ม อาทิเช่น หุ้น เจ มาร์ท หุ้น JMART จำนวน 10,000,000 หุ้น คิดเป็น 1.91% หุ้น เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J จำนวน 2,918,273 หุ้น คิดเป็น 0.79% หุ้น แพลน บี มีเดีย หรือ PLANB จำนวน 33,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.94% หุ้น สวนอุตสาหกรรมโรจนะ หรือ ROJNA จำนวน 10,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.51% หุ้น เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN จำนวน 6,825,000 หุ้น คิดเป็น 0.49% และ หุ้น วิค แอนด์ ฮุคลันด์ หรือ WIIK จำนวน 2,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.67%

'นพ.บุญ วนาสิน' ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ในฐานะนักลงทุนรุ่นใหญ่ บอกว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนบวก 15% จากการลงทุนในช่วง 3-4 เดือนก่อน ซึ่งเป็นช่วงขาลงของตลาดหุ้น โดยได้เข้าไปซื้อและหาจังหวะขายทำกำไร 3-4%

สำหรับมุมมองตลาดหุ้นปี 2559 ตลาดจะยังไม่ใช่ขาขึ้น แต่ดัชนีอาจบวกประมาณ 10% จากปลายปี 2558 ตอบรับการลงทุนของภาครัฐ ส่วนตัวมองว่า เม็ดเงินจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเข้าสู่ตลาดไตรมาส 3/2559 และอาจมาเพียง 10% ของมูลค่าการลงทุน

ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในลักษณะ 'ผันผวน' ต่อเนื่องจากปี 2558 แต่ในแง่ของภาวะเศรษฐกิจเมืองไทยจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่จีดีพีคงโตไม่ถึง 4% เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรยังไม่ดี เช่นเดียวกันเศรษฐกิจในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา,ยุโรป,ญี่ปุ่น และจีน ที่มีแนวโน้มดีขึ้น

'นักลงทุนรุ่นลายคราม' บอกว่าหุ้นที่ยังสามารถลงทุนได้ คือ 'กลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง' และ 'กลุ่มโรงพยาบาล' โดยกลยุทธ์การลงทุนให้เน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีการจ่ายเงินปันผลระดับ 4% และเป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดจำนวนมาก รวมถึงมีการเติบโตทั้งในแง่ของรายได้กำไร แม้ว่าจะลดลงบ้างก็ตาม

ในช่วงตลาดหุ้นเป็นขาลง ถือเป็นจังหวะให้นักลงทุนเข้ามาเก็บสะสมหุ้น เพราะปัจจุบันตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยค่า P/E อยู่ 13 เท่า เมื่อเทียบกับในอดีตที่มีค่า P/E อยู่ที่ระดับ 17-18 เท่า

'ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เราต้องไม่ลืมข้อนี้'

ด้าน 'เคน-โสรัตน์ วณิชวรากิจ' นักลงทุนแวลูอินเวสเตอร์รายใหญ่ บอกว่า ผลตอบแทนของนักลงทุนวีไอส่วนใหญ่ 'ขาดทุน' แทบทุกคน เพราะราคาหุ้นตลอดปีปรับตัวลดลงมาเกือบทุกหมวดอุตสาหกรรม ตัวผมเองนับตั้งแต่ต้นปี ก็พยายามหันมาลงทุนแบบเทรดเดอร์บ้าง ราคาหุ้นย่อก็เข้าไปเก็บ หุ้นขึ้นก็ขายทำกำไร หาทางรอดให้ตัวเอง

แต่ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา เพิ่งเข้าไปเก็บหุ้นพร็อพเพอร์ตี้ตัวหนึ่ง เพราะต้องการถือลงทุนแบบเป็นเจ้าของกิจการ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง ถือเป็น 'ความท้าท้าย' ของนักลงทุนวีไอในการหากิจการที่ดี เพื่อเข้าไปลงทุน แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาส หากเราเจอกิจการที่ดี และเข้าไปซื้อในช่วงวิกฤติ เราจะได้ของในราคาถูก เพราะว่าสามารถต่อรองราคาได้ แต่ถ้าหาได้ในช่วงที่ตลาดบูมอาจได้กิจการที่ดี แต่ราคาแพง

สำหรับนักลงทุนวีไอ ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นหรือลง เราไม่ได้สนใจ แต่เราโฟกัสในการหากิจการที่ดีและราคาไม่แพง เพื่อครอบครองและลงทุนแบบเป็นเจ้าของกิจการ แม้ว่าในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี บริษัทอาจมีรายได้กำไรลดลงมาบ้าง แต่เราก็ต้องให้โอกาสผู้บริหารในการทำงาน โดยเชื่อมั่นในธุรกิจว่า จะมีโอกาสเติบโตได้อีกในระยะยาว

'ตลาดหุ้นปี 2559 น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้ แต่เชื่อว่าตลาดยังมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยในประเทศจะได้รับผลดีจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และเศรษฐกิจต่างประเทศน่าจะเริ่มฟื้นตัวบ้าง'