นายหญิง WHA อัดยาแรง กระตุ้นหุ้น & ขยับกำไร

โชว์ 4 โมเดลธุรกิจ ผ่านมุมคิด 'จรีพร จารุกรสกุล' แม่ทัพหญิง 'ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น' ย้ำแยกทางกับ 'หมอสมยศ' ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้ง WHA
'แม้จะแยกทางกันแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เราสองคนยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและไม่ทิ้งหุ้นแน่นอน เพราะไม่มีเหตุผลที่จะขาย ที่สำคัญเรายังมองเห็นอนาคตที่สดใสของบริษัทเหมือนกัน โดยเฉพาะหลังการซื้อหุ้น เหมราชพัฒนาที่ดิน หรือ HEMRAJ'
'จรีพร จารุกรสกุล' (นามสกุลเดิม อนันตประยูร) อดีตภรรยา 'นพ.สมยศ อนันตประยูร' ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA และผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 12.91% (ตัวเลขวันปิดสมุดทะเบียน 14 ก.ย.58) กล่าวยืนยันกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week'
เธอ บอกว่า นับตั้งแต่ WHA ตั้งบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ 'ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง' ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อเทคโอเวอร์ บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน หรือ HEMRAJ จาก 'กลุ่มสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง' ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ เมื่อปลายปี 2557 จำนวน 22.53% ก่อนจะจัดทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์หุ้น HEMRAJ โดยสมัครใจ หรือ Voluntary Tender Offer (VTO) ในราคาหุ้นละ 4.50 บาท ในช่วงต้นเดือนมี.ค.-เม.ย.2558 ส่งผลให้ WHA ถือหุ้น HEMRAJ สัดส่วน 100%
ราคาหุ้น WHA ก็ไม่เคยหวือหวาเหมือนเคย แถมยังมีข่าวลือซ้ำเติมราคาหุ้นอีกว่า เราสองคนจะขายหุ้น WHA เพราะแยกกันอยู่มานาน 6-7 เดือนแล้ว ขอบอกตรงนี้ชัดๆว่า หลังเราแจ้งตลาดเรื่องการเปลี่ยนนามสกุล ราคาหุ้น WHA ก็ปรับตัวขึ้นแต่หลังจากนั้นราคาหุ้นก็ปรับลดลง แต่ไม่ถึง 50% เราสองคนใช้ช่วงเวลานั้น ในการเข้าเก็บหุ้น WHA เพิ่มเติมอีก 20 ล้านหุ้น คิดเป็นเงิน 100 ล้านบาท
ที่ผ่านมาเราได้อธิบายเรื่องนี้ให้ผู้ถือหุ้นใหญ่หลายรายฟังแล้ว โดยเฉพาะ 'เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล' เจ้าของพอร์ตหุ้นหลักพันล้าน ซึ่งเขาถือหุ้น WHA 3.62% และยังถือผ่าน 'สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล' โดย บลจ.แอสเซทพลัส จำกัด” สัดส่วน 3.25% ที่ผ่านมาเขาไม่เคยขายหุ้น WHA มีแต่จะซื้อเพิ่มเติม เพราะหุ้น WHA ถือเป็นหุ้นในดวงใจของเสี่ยปู่
'บริษัทจะอัพเดทข้อมูลใหม่ๆให้เสี่ยปู่ฟังทุกไตรมาส บางครั้งแกยังแนะนำให้นักลงทุนรายอื่นได้รู้จักตัวตนของ WHA และบางครั้งยังมีคนมาถามขายที่ดินให้ WHA ผ่านเสี่ยปู่'
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการ เล่าต่อว่า เมื่อ 2 ปีก่อน เราสองคนวางโมเดลธุรกิจไว้ว่า 'ต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการครบวงจรด้านการดำเนินธุรกิจ' ซึ่งการเข้าซื้อกิจการของ บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน จะตอบโจทย์ข้อนี้ได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาพี่อยู่เบื้องหลังในทุกๆเรื่องของ WHA
WHA เดินธุรกิจผ่าน 4 โมเดล
ภายหลังกระบวนการควบรวม บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน แล้วเสร็จ โครงสร้างธุรกิจของ WHAจะเป็นอย่างไร? เธอตอบคำถามนี้ว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2559 WHA จะแยกธุรกิจออกเป็น 4 ประเภท คือ 1.ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการโครงการนิคมอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม หรือ Industrial Hub ปัจจุบัน HEMRAJ บริหารจัดการอยู่ 8 นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเรามองว่า บริษัทยังสามารถพัฒนาที่ดินได้มากกว่านี้ HEMRAJ ถือเป็นบริษัทที่มีจำนวนที่ดินมากที่สุดเฉลี่ย 40,000 กว่าไร่ ซึ่งบริษัทขายไปแล้ว 30,000 กว่าไร่ เหลือที่ดินพร้อมขายอีก 11,000 ไร่ ซึ่งที่ดินส่วนมากตั้งอยู่แถวอีสเทิร์นซีบอร์ด
ในอนาคตที่ดินบริเวณดังกล่าวจะเป็น 'หัวใจหลักของอุตสาหกรรม' เพราะว่าหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะมีการเชื่อมโยงระบบขนส่งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบรถไฟรางคู่ ท่าเรือ และทางอากาศ ซึ่งที่ดินของเราอยู่ใกล้สนามบินอู่ตะเภา ฉะนั้นในอนาคตบริษัทจะมีการพัฒนาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอีกจำนวนมาก และเราจะไม่ทำเพียงแค่การขายที่ดินอย่างเดียว
สำหรับแผนการขายที่ดินในปี 2558 บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 1,100 ไร่ ส่วนยอดโอนอาจอยู่ระดับ 1,300 ไร่ ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (แบ็กล็อก) ค้างมาจากปีก่อนจำนวนหนึ่ง ส่วนเป้าหมายการขายในปี 2559 ตั้งเป้าไว้ที่ 1,400 ไร่ ซึ่งปีหน้าจะยังไม่มีการซื้อที่ดินแปลงใหญ่เพิ่มเติม เนื่องจากที่ดินยังมีเพียงพอต่อขาย เราตั้งเป้าขายที่ดินปีละ 1,000 ไร่
2.ธุรกิจพัฒนาโครงการโรงงานสำเร็จรูปให้เช่า และโครงการคลังสินค้าโลจิสติกส์ หรือ Logistics Hub ปัจจุบัน WHA มีพื้นที่คลังสินค้าสำเร็จรูปทั่วประเทศ 30 ทำเล จำนวนพื้นที่ 1.2 ล้านตารางเมตร ซึ่งในปีนี้เราได้สร้างเพิ่มอีก 2 แสนตารางเมตร รวมเป็น 1.4 ล้านตารางเมตร ส่วนของ HEMRAJ มีพื้นที่จำนวน 6 แสนตารางเมตร รวมทั้งเครือมีพื้นที่เช่า 2 ล้านตารางเมตร ซึ่งเราตั้งเป้าจะสร้างอาคารให้เช่าเพิ่มปีละ 2-3 แสนตารางเมตร
3.ธุรกิจให้บริการระบบสาธารณูปโภค (น้ำ-ไฟฟ้า) หรือ Utility & Power Hub ที่ผ่านมาเราแบ่งฐานรายได้ออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ค่าน้ำ ปัจจุบันเราขายน้ำดิบให้ลูกค้าปีละ 60 ล้านคิว และขายน้ำเสียที่นำมาบำบัดอีก 30 ล้านคิวต่อปี
เบื้องต้นเรายังคงเดินหน้าทำน้ำเสียให้กลายเป็นน้ำดีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นบริษัทยังคิดแผนจะวางท่อก๊าซผ่านนิคมอุตสาหกรรมด้วยตนเอง จากเดิมที่ปตท.เช่าพื้นที่ เพื่อวางท่อก๊าซผ่านนิคมของเรา ปัจจุบันบริษัทกำลังคุยกับพันธมิตร ประเทศญี่ปุ่น หากโปรเจคนี้เกิดขึ้นจริง อาจเริ่มเห็นการวางท่อผ่าน 5 นิคมอุตสาหกรรมใหม่
2.ค่าไฟฟ้า ปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้า 538 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้น แต่เราเพิ่งสร้างไปได้เพียง 300 เมกะวัตต์ ส่วนเหลืออีก 200 เมกกะวัตต์ เราได้ใบอนุญาต (PPA) แล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างการรอก่อสร้าง แต่ถ้าตามโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรจะมีกำลังการผลิต 3,000 เมกกะวัตต์ ซึ่งจะสร้างรายได้ต่อปีประมาณ 2,000 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทกำลังจะลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของโรงไฟฟ้าก๊าซและไอน้ำ ประมาณ 220 เมกะวัตต์ และจะลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟอีก 5 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกันพื้นที่หลังคาของเรายังสามารถขยายเพิ่มเติมได้อีกเกือบ 200 เมกะวัตต์ แต่ต้องรอความชัดเจนจากการสนับสนุนของภาครัฐก่อน
บริษัทกำลังมองธุรกิจไฟฟ้าทดแทนด้านอื่นๆ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เนื่องจากในนิคมอุตสาหกรรมเรามีขยะวันละ 1,000 กว่าตัน ซึ่งหากนำมาทำไฟฟ้าจะได้กำลังการผลิต 20 เมกกะวัตต์ และยังมีขยะจากชุมชนบริเวณรอบนิคมอุตสาหกรรมอีก ล่าสุดเราได้คุยกับทางเทศบาลแล้ว
ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาร่วมกับพันธมิตรแถบยุโรป คาดว่าจะมีขนาดกำลังการผลิต 40 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุน 6,000 ล้านบาท ล่าสุดอยู่ระหว่างทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับภาครัฐ คาดว่าจะดำเนินการได้ในต้นปีหน้า และจะจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในปี 2560 บริษัทหวังจะมีผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) มากกว่า 10%
เรามีรายได้จากค่าน้ำค่าไฟฟ้าปีละเกือบ 4,000 ล้านบาท และยังมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเรามีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี เมื่อธุรกิจนี้ค่อนข้างโดดเด่น เราวางแผนจะยุบเป็นแผนกเดียวแล้วตั้งขึ้นเป็นบริษัทใหม่ เพื่อผลักดันเข้าตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 คาดว่าจะมีมาร์เก็ตแคป 25,000-35,000 ล้านบาท ดังนั้นอาจต้องมีการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก
4.ศูนย์กลางข้อมูล หรือ Digital Hub เรากำลังเจรจากับพันธมิตร ทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายราย เพื่อร่วมกันจัดตั้ง Data Center คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีหน้า และจะมีรายได้เข้ามาทันที ตามแผนงาน WHA จะถือหุ้นมากกว่า 50% อย่างไรก็ดีธุรกิจดังกล่าวจะทำผ่านบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ WHA Infonit โดยจะทำเป็นศูนย์ข้อมูล เพื่อรองรับการใช้งานของลูกค้าของบริษัทที่เช่าคลังสินค้า รวมถึงลูกค้าภาครัฐด้วย
5 ปี รายได้ 2 หมื่นล้านบาท
'นายหญิง' เล่าต่อว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2559-2563) ไว้ว่าเติบโตอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนวางไว้ว่า ภายในปี 2558-2559 จะใช้เงินลงทุนปีละ 6,000 ล้านบาท และในปี 2560 เป็นต้นไป คาดว่าจะใช้เงินลงทุนปีละ 'หมื่นล้านบาท'
สำหรับแหล่งที่มาของรายได้รวมจะมาจาก 5 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 'ธุรกิจให้เช่า' (Rental Property Business) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 15% ซึ่งในปี 2557 บริษัทมีรายได้ 551.13 ล้านบาท แต่ปี 2562 ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 1,680 ล้านบาท ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นอยู่ในระดับสูง และปัจจุบันธุรกิจคลังสินค้าประเภท Built to Suit และ Warehouse Farm ในประเทศ ก็ยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากลูกค้าหลักที่เป็นภาคธุรกิจขนาดใหญ่
'ธุรกิจขาย' (Sale Of Property Business) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 60% ซึ่งเดิม WHA มีแค่การขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อรวมกับ HEMRAJ ก็จะมียอดขายขายที่ดิน ดังนั้นธุรกิจการขายจะเพิ่มขึ้น โดยในปี 2557 บริษัทมีรายได้ 4,336 ล้านบาท
แต่ปี 2562 บริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 11,640 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการขายที่ดิน 6,000 กว่าล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายปีละ 1,000 กว่าไร่ และการขายสินทรัพย์เข้ากองรีทส์ปีละ 4,000 กว่าล้านบาท รวมแล้วก็จะมีรายได้เข้ามาปีละ 'หมื่นกว่าล้าน' ส่วนกำไรปีละ 30-40%
'ธุรกิจน้ำ' (Utilities Business) ปี 2557 บริษัทไม่มีรายได้จากธุรกิจน้ำ แต่ในปี 2558 บริษัทจะมีรายได้เข้ามา 2,000 ล้านบาท และในปี 2562 บริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 2,840 ล้านบาท แต่กำไรประมาณ 40-50% แต่คาดว่าบริษัทจะมีการลงทุนเพิ่ม โดยการใส่เทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยเข้าไป เพื่อลดต้นทุน เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มกำไรได้มากกว่า 50%
'ธุรกิจไฟฟ้า' (Power Business) เดิม WHA มีแค่ไฟฟ้าจากโซลาร์ รูฟ แต่หลังจากควบรวม HEMRAJ ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 538 เมกกะวัตต์ โดยคาดว่าปี 2562 จะมีปันผลอยู่ที่ 1,810 ล้านบาท โดยใน 2 ธุรกิจคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 25%
'ธุรกิจบริหารกองรีทส์' (PM RM Dividend & Others) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 5% โดยปี 2557 บริษัทมีรายได้จากการบริหารกองรีทส์อยู่ที่ 160 ล้านบาท ตั้งเป้าในปี 2562 จะมีรายได้อยู่ที่ 750 ล้านบาท โดยบริษัทจะมีการขายกองรีทส์ทุกปี
'การเติบโตของ WHA จากนี้ไปจะมาจาก 5 ธุรกิจหลัก ซึ่งบริษัทมีแผนจะทำให้สัดส่วนรายได้ประจำ (recurring income) กับรายได้ที่ไม่ใช่ประจำ (non Recurring) เป็น 50:50 จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 55:45'
ทั้งนี้ในปี 2558 รายได้รวมของบริษัทอาจยืนระดับ 11,000 ล้านบาท และในปี 2559 มีโอกาสขยับเป็น 20,000 ล้านบาท เนื่องจากมีการเลื่อนขายกองรีทส์จากปี 2558 ไปปีหน้า โดยปี 2559 จะมีการขายกองรีทส์ของ HEMRAJ และ WHA จำนวน 2 กอง มูลค่าประมาณ 'หมื่นล้านบาท' แต่หากคิดเพียงการเติบโตจากการดำเนินธุรกิจบริษัทจะมีรายได้รวมประมาณ 18,000 ล้านบาท
ปี 63 โกยรายได้นอกบ้าน 20%
เธอ เล่าถึงแผนโกอินเตอร์ว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเข้าไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ล่าสุดอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยงานแรกเป็น Logistics Built-to-Suit ด้านศูนย์กระจายสินค้า พื้นที่ 25,000 ตารางเมตร คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในปีหน้า สัญญาเช่า 10 ปี เบื้องต้นตั้งเป้าสัดส่วนรายได้งานต่างประเทศประมาณ 10-20% ภายใน 5 ปี (2559-2563) และจะเพิ่มเป็น 40% ภายใน 10 ปีข้างหน้า (2559-2568)
ส่วนแผนการลงทุนในประเทศอื่นๆอยู่ระหว่างศึกษา เช่น ประเทศเวียดนาม ,มาเลเซีย และพม่าคาดว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้าจะสามารถสรุปการเข้าไปลงทุนคลังสินค้าในประเทศเวียดนามได้ ส่วนตัวมองว่า ประเทศเวียดนามจะมีการพัฒนามากขึ้น หลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
สำหรับหลักการทำธุรกิจของบริษัท หากตัดสินใจจะลงทุนอะไร หมายความว่า เราจะต้องมีแผนรองรับด้านการเงินเรียบร้อยแล้ว โดยแผนการคืนหนี้ที่เกิดจากการควบรวม HEMRAJ ซึ่ง WHA เทคโอเวอร์ HEMRAJ มูลค่า 4.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เงินที่ได้จากการเพิ่มทุน 8,000 กว่า เงินจากการแปลงสิทธิ WHA-W2 จำนวน 3,000 ล้านบาท และเงินจากการกู้ธนาคาร 3.1 หมื่นล้านบาท
ส่วนจำนวนหนี้สินแบ่งออกเป็น หนี้ระยะสั้น 2 ปี มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท และหนี้ระยะยาว 7 ปี มูลค่า 6,000 ล้านบาท โดยหนี้ระยะยาวบริษัทจะนำผลประกอบการของ HEMRAJ มาจ่ายคืนธนาคาร สำหรับหนี้ระยะสั้น 2.58 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 2 ปี ดอกเบี้ยปีละ 1,000 ล้านบาท บริษัทจะเงินจากหลากหลายทางมาคืนแบงก์
เช่น เงินจากการขายเกาะล้าน และตึก UM Tower จำนวน 3,003 ล้านบาท เงินจากกำไรของ WHA ที่ทำได้ปีละ 1,000 กว่าล้านบาท เงินจากการออกบอนด์มูลค่า 4,000 กว่าล้านบาท และเงินจากการตั้งกองรีทส์ มูลค่า 2,075 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 3/2558 ปัจจุบันบริษัทคืนหนี้แบงก์ไปแล้วกว่า 9,374 ล้านบาทแล้ว
สำหรับแผนคืนหนี้ในระยะต่อไป ในไตรมาสแรกของปีหน้า บริษัทจะตั้งกองรีทส์มูลค่า 6,500 ล้านบาท และวางแผนการนำบริษัทลูกเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นช่วงไตรมาส 4/59 ฉะนั้นภายใน 2 ปี บริษัทจะสามารถคืนหนี้ระยะสั้นได้ทั้งหมด
'บริษัทจะดำเนินการถอนหลักทรัพย์ บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน ในช่วงต้นเดือน มี.ค.2559 โดยในเดือน ธ.ค.นี้ จะมีการยื่นขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพื่อให้ธุรกิจมีความชัดเจนมากขึ้น และมีความโปร่งใสและคล่องตัวในการขยายกิจการในอนาคต'







