ชาย..!! (ศรีวิกรม์) ผู้พิทักษ์ราชประสงค์

ชาย..!! (ศรีวิกรม์) ผู้พิทักษ์ราชประสงค์

ภาระหนักของ “ชาย ศรีวิกรม์” แกนหลักราชประสงค์ คือ ต้องวางมาตรการรักษาความปลอดภัยมาตรฐานโลก ฟื้นเชื่อมั่น..!!

“เรามีความตั้งใจมากที่จะทำให้กรุงเทพฯปลอดภัย อย่างน้อยนักท่องเที่ยวมาถึงย่านราชประสงค์ จะมีคนช่วยดูแลความปลอดภัยให้ทุกท่านที่มาอยู่ย่านเรา ซึ่งจะเป็นทีมใหญ่เพื่อทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ เราจะสร้างความสบายใจให้กับผู้คนที่เดินทางมาเที่ยวอย่างสบายใจ”

นี่ไม่ใช่ประโยคที่หาเสียง ที่ประกาศให้คำมั่นกับชาวกรุง แต่เป็นความตั้งใจของนักธุรกิจคนหนึ่ง ที่เผชิญ “มรสุม” รุมเร้า ลูกแล้ว..ลูกเล่า ณ สถานที่แห่งนี้

ทั้งการชุมนุมทางการเมือง ลามไปถึงปฏิบัติการเผาห้าง

กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2558 กับเหตุการณ์วางระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม มีทั้งผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ

“ตอนเกิดเหตุการณ์ผมก็นั่งอยู่ที่นี่ (ศูนย์การค้าเกษร) เราอยู่ใกล้พื้นที่ ได้ยินเสียงตู้ม! ก็สงสัยว่าคืออะไรบ้าง ผมอยู่ข้างล่าง มีคนบอกว่ารถแก๊สระเบิด มีไฟไหม้ ไม่เป็นไรผมคิด สักพักบอกว่ามีบอมบ์" ชาย ศรีวิกรม์ เจ้าของศูนย์การค้าหรูเกษร ในฐานะนายกสมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) เล่าย้อนเหตุการณ์วันนั้น

อีกเหตุการณ์ที่กระเทือนความรู้สึกของเจ้าของห้างฯในย่านนี้ ที่ต้องบอกว่า เผชิญแต่เรื่อง “หนักๆ”

ถามว่า..ทุกครั้งที่มีสถานการณ์กระทบย่านราชประสงค์ การรับมือจะเข้มข้นขึ้นแค่ไหน เจ้าตัวบอกว่า เหตุการณ์จะเป็นตัวกำหนดโจทย์

ยกตัวอย่าง ปี 2554 ประเทศไทยเผชิญน้ำท่วมใหญ่ ก็ต้องตรวตราดูไฟฟ้ามีปัญหาหรือไม่ เพื่อวางมาตรการเชื่อมต่อการทำงานอย่างเป็นระบบ

“เหตุการณ์ เรื่องม็อบก็เรื่องนึง” เขาหัวเราะ

ทว่า เหตุการณ์ระเบิดแยกราชประสงค์ นอกจากจะสร้างความสูญเสียด้านชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังสร้างความหวาดผวาให้คนกรุงและนักท่องเที่ยว และนั่นทำให้ห้วงเวลาดังกล่าว บรรยากาศช้อป เที่ยวในย่านราชประสงค์ซบเซาไปอย่างเห็นได้ชัด

"การเรียกความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว“ คือสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะการยกระดับ “มาตรการรักษาความปลอดภัย” ให้กับผู้คนในย่านราชประสงค์ ย่านเศรษฐกิจการค้า อีกเส้นเลือดใหญ่ธุรกิจไทย

เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในย่านนี้ ยังขยายผลกระทบไปเป็น “วงกว้าง” สู่ภาพลักษณ์ประเทศไทย จากการที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวคึกโครมไปทั่วโลก

“ย่านราชประสงค์เป็นดาวน์ทาวน์ (ใจกลางเมือง) เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว เราคุยกันเรื่องความปลอดภัยมาหลายรอบ เพื่อเตรียมความพร้อม” เขาบอก ก่อนขยายความว่า ย่านนนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ 3-4 แสนคนต่อวัน ยิ่งไตรมาส 4 เป็นฤดุท่องเที่ยว หรือไฮซีซัน ตามปกตินักท่องเที่ยวจะเข้ามาเพิ่มขึ้น 25%

นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติและทำโฟกัสกรุ๊ป นักท่องเที่ยวที่มาในย่านนี้ เพราะเป็นย่านที่มีความพร้อมครบครันทั้งแหล่งช้อปปิง กิน เที่ยว เรียกว่า...มีทุกอย่างตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

อีกภาพที่ตอกย้ำว่า ย่านนี้เป็นมหานครของนักท่องเที่ยว คือ บนสกายวอล์กหรือทางเชื่อมห้างค้าปลีก โรงแรม ในย่านดังกล่าว คลาคล่ำไปด้วยคนไทยและต่างชาติ

“เราเริ่มเห็นแล้วว่ากรุงเทพฯ คือเมืองหลวงใหญ่ของคนหลายชาติหลากภาษา” ส่วนพฤติกรรมของคนที่เข้ามาเห็นว่า “มีทั้งมาจ่ายตังค์ มาขโมยก็มี มาทั้งคู่ เราจึงต้องปรับตัวรองรับสถานการณ์เช่นนี้”

เมื่อต้องพบกับทั้งเรื่องร้าย เรื่องดี ทั้งขู่บอมบ์ บอมบ์จริง กระทั่งเกิดระเบิด จึงต้องหาระบบรักษาความปลอดภัยมาดูแลคนในย่านนี้ ภายใต้โจทย์ง่ายๆ หลังพุดคุยกับนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง พบว่า เขาเฉยๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะที่บ้านเมืองเขา(ประเทศฝรั่งเศส)ก็เหตุการณ์ทำนองนี้ แต่สิ่งที่เขาต้องการคือ อยากมั่นใจในการดูแลความปลอดภัยของผู้คนที่เกี่ยวข้อง เทียบเท่าสากล

กลายเป็นการตกผลึกความคิดของ “ชาย” ในการ “ทำระบบความปลอดภัยย่านราชประสงค์ให้เทียบเท่ากับเมืองนอก”

ที่ผ่านมา ยังไปศึกษาโมเดลรักษาความปลอดภัยในมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ พบว่าสิ่งที่เป็น “รูปธรรม” ด้านแรกคือ “มาตรฐานกล้องวงจรปิด” ที่มี “กระจาย” อยู่โดยทั่วถึง ตามด้วย “ระบบการควบคุม” เทคโนโลยีที่นำเข้ามาใช้

ที่สำคัญคือ “การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน” อย่างเป็นระบบและบูรณาการ

โดยการทำงานครั้งนี้ เขาย้ำว่า เป็นการเสริมประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัย 3 ส่วน ได้แก่

1.ด้านมาตรการป้องกันและการรองรับ 2.ด้านเทคโนโลยีที่ใช้กล้องวงจรปิด(CCTV) และระบบประมวลผลอัจฉริยะ มีห้องปฏิบัติการ CCTV หรือศูนย์ควบคุมรักษาความปลอดภัยราชประสงค์ ร่วมกับ บริษัท พานาโซนิค ซิว เซลส์(ประเทศไทย)จำกัด และ 3. ด้านบุคลากร ที่มีทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กรุงเทพมหานคร(กทม.) เจ้าหน้าที่รักษาความปลอกภัย(รปภ.) ทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ

สเต็ปแรก ของการทำงานสมาคมฯจะร่วมใจกันอัพเกรดกล้องวงจรปิดที่มีเทคโนโลยีความคมชัดขั้นสูงขึ้น 4K หรือเทียบเท่ากล้องที่มีความละเอียดคมชัดสูงหรือ Full HD 4 ตัว ทำให้จับภาพในมุมกว้างมากขึ้น ประสิทธิภาพในการตรวจจับผู้ต้องสงสัย มองเห็นผู้คนต่างๆได้ชัดมากขึ้น

ทำหน้าที่เสมือน “ดวงตา” คอยสอดส่องดูแล

นอกจากนี้ ด้านบุคลากรรักษาความปลอดภัย จะมีพนักงานรักษาความปลอดภัย 500 นาย ที่จะต้องถูกฝึกให้ปฏิบัติงาน เมื่อตาเห็นและแชร์ข้อมูลเข้ามา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ รู้วิธีการใช้คำพูดกับบุคคลดังกล่าว โดยรวมต้องแก้ปัญหา รับมือสถานการณ์ต่างๆได้

ทำหน้าที่เป็น “มือ” ที่ออกแอ็คชั่น

สำคัญมากคือ “สมอง” เขายกให้การทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ยกระดับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยให้เทียบชั้นระดับโลก

ทั้งหมดนำไปสู่เป้าหมาย ในการรับมือกับเหตุการณ์ร้าย ภายใน “15 นาที” เมื่อเทียบกับเหตุระเบิดล่าสุด ที่ผ่านมาใช้เวลาถึง 45 นาที กว่าจะรู้ว่าใครเป็นใคร

“เราจะทำงานอย่างบูรณาการ มากกว่าแค่จำนวนกล้อง แต่เป็นเรื่องของการใช้ระบบ และการฝึกคนให้สามารถทำงานได้ เราถึงจะปลอดภัย” พร้อมทิ้งท้ายว่า..

“อยากแชร์ให้รู้ ชวนทุกคน มาสร้างกรุงเทพฯให้เป็นเมืองที่ปลอดภัย สิ่งที่ผมทำตอนนี้ได้ อยากทำให้เป็นตัวอย่าง”

++++++++++++++++++++

เร่งติดตั้ง CCTV รับเคาท์ดาวน์

สมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจในย่านราชประสงค์(RSTA)มีเครือข่ายสมาชิกผู้ประกอบการ 13 อาคาร เช่น ศูนย์การค้าเกษร, ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่า, ศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อก, โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ, โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ, เดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์ และโรงแรมโนโวเทล แพลทินัม ประตูน้ำ เป็นต้น

ทั้งนี้ การเพิ่มมาตรฐานการรักษาความได้เพิ่มกล้องวงจรปิดในย่านดังกล่าวเป็น 2,155 ตัว จาก ปีก่อนมี 1,300 ตัว ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ถึงเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ และเตรียมติดตั้งกล้องวงจรปิด 4K ติดตั้งอีก 75-80 ตัวให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และผสานกับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ต่างๆ สายตรวจปฏิบัตการพิเศษ หน่วยทำล้ายล้างวัตถุระเบิด(EOD) ตำรวจท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อดูแลความเรียบร้อยต้อนรับมหกรรมเคาท์ดาวน์ปีใหม่