'รวยเปลี่ยนโลก' วิถีมั่งคั่งเถ้าแก่ยุคใหม่

'รวยเปลี่ยนโลก' วิถีมั่งคั่งเถ้าแก่ยุคใหม่

วันนี้เทรนด์ “ความมั่งคั่ง”ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อวิถีของความร่ำรวยไม่ได้มองแค่ตัวเลขในบัญชี ทว่าต้องมองถึงการสร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคมด้วย

“Win the Right Way” หรือ การประสบความสำเร็จในธุรกิจที่คำนึงถึงผลกำไรไปพร้อมกับการเติบโตและการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นของสังคม

คือสโลแกนสร้างแรงบันดาลใจผู้ประกอบการรุ่นใหม่ จากแคมเปญ The Venture ปี 2 โครงการเฟ้นหาสุดยอดนักธุรกิจเพื่อสังคมระดับโลก เพื่อชิงเงินรางวัลมูลค่า 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเปิดรับสมัครในไทยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ถึง 1 ธันวาคม 2558 (www.theventure.com/th)

คำดลใจประโยคนี้ สะท้อนความสำคัญของการ “ทำธุรกิจ” ที่ควบคู่ไปกับ “ทำเพื่อสังคม” ในวิถีกิจการเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ซึ่งกำลังเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลก

“จริงๆ แล้ว ในการทำธุรกิจทุกคนย่อมต้องการผลกำไร แต่จะทำอย่างไรให้ความสำเร็จของธุรกิจนั้น เดินควบคู่ไปกับการพัฒนาที่ดีขึ้นของสังคมด้วย นี่คือแนวทางของ Win the Right Way”

“แพทริค กัสทานิเยร์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพอร์นอต ริคาร์ด (ประเทศไทย) บอกเล่า ความหมายของชัยชนะที่แท้จริงในการทำธุรกิจยุคใหม่

เช่นเดียวกับ “อภิวิชญ์ ปัญญา” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เพอร์นอต ริคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ที่บอกว่า หัวใจของ Win the Right Way หรือการทำธุรกิจที่ถูกต้อง ก็คือคำว่า การสร้าง “ผลกระทบเชิงบวก” สู่สังคม

“กฤษดา กมลวรินทิพย์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เพอร์นอต ริคาร์ด (ประเทศไทย) ยกตัวอย่าง กิจการเพื่อสังคมรุ่นใหม่จากโครงการ The Venture ปี 1 ที่สะท้อนผลกระทบเชิงบวกนั้นได้แจ่มชัด หลังถูกคัดกรองจากเกณฑ์การตัดสินที่ตอบทั้งธุรกิจและสังคม คือ โครงการนั้นต้องสามารถสร้างผลกำไรได้ ขณะที่ต้องมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นด้วย โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน มีแผนธุรกิจที่เป็นไปได้จริง และ มีศักยภาพที่จะเติบโตได้

อย่าง โครงการ “Algramo” ของ Jose Manuel Moller จากประเทศชิลี ที่ทำเรื่องการจัดจำหน่ายสินค้าขนาดเล็กแก่ผู้มีรายได้น้อยในชิลี เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งอาหารของประชาชนชาวชิลีในชนบท โครงการ “SenSprout” โดย Yoshihiro Kawahara จากประเทศญี่ปุ่น ที่แก้ปัญหาด้านการเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร ในขณะเดียวกันก็ใช้ปริมาณน้ำลดลงด้วย หรือโครงการ “Chipsafer” ของ Victoria Alonsoperez จากประเทศ อุรุกวัย ที่เลือกใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ในการเข้าใจพฤติกรรมของปศุสัตว์แบบเรียลไทม์ แม้กระทั่ง “Socialgiver” โครงการน้ำดีตัวแทนจากประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งโดย “อาชว์ วงศ์จินดาเวศย์” และ “อลิสา นภาทิวาอำนวย” ที่ปฏิวัติโลกของการบริจาคเพื่อสังคม ให้เราสามารถใช้ไลฟ์สไตล์ที่ชอบไปพร้อมกับการช่วยเหลือสังคมได้ ในคอนเซ็ปต์ “ช็อปเท่ากับช่วย”

“ผมเห็นอนาคตว่า คนส่วนมากจะมีข้อมูล มีความรู้ และหันมาสนใจสังคมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เลือกที่จะผูกพันกับธุรกิจที่ดีต่อสังคมด้วย ฉะนั้น Social Enterprise จึงเป็นเทรนด์ที่กำลังมา และเป็นเทรนด์ที่ไปยาว เพื่อทำให้โลกของเราดีขึ้น ทำให้คนมีความสุขขึ้น เป็นการสร้างความยั่งยืน(Sustainability) ของโลก ผ่านโมเดลธุรกิจที่ดีต่อทุกคน” อาชว์ ผู้ก่อตั้ง Socialgiver บอกเทรนด์ยั่งยืนของกิจการเพื่อสังคม 

“คนรวยสมัยนี้ตระหนักถึงสังคมมากขึ้น” 

คำยืนยันจาก “กฤษดา สวามิภักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นิตยสารฟอร์บส (ประเทศไทย) สะท้อนผ่านภาพมหาเศรษฐีโลก ที่หันมาทำสิ่งดีๆ สู่สังคมกันอย่างคึกคัก

ดูอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ อิงค์ ที่ล่าสุดก็เพิ่งบริจาคเงินเพื่อการกุศลประจำปี โดยบริจาคเป็นหุ้นคลาส บี ของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ จำนวน 20.64 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าถึงประมาณ 2.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่มูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ กับอีก 4 มูลนิธิของครอบครัวบัฟเฟตต์ รวมเป็นเงินบริจาคตลอดสิบปี ก็เบาะๆ กว่า 7 แสนล้านบาท!

หรือ “บิลล์ เกตส์” ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ที่ยังครองตำแหน่งผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นปีที่ 16 จากการจัดอันดับมหาเศรษฐีของฟอร์บส์ ปีล่าสุด ด้วยทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 79,200 ล้านดอลลาร์ บิลล์ ก่อตั้งมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ ขึ้น พร้อมเดินหน้าทำเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

ผู้บริหาร ฟอร์บส ประเทศไทย บอกเราว่า เทรนด์เหล่านี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง โดยคำนึงถึงเรื่องสังคมไปด้วยนั้น จะสร้างให้เราเป็น “นักธุรกิจใจบุญ” ที่ได้รับการยอมรับจากสังคม เขายกตัวอย่าง “ลี เชา กี” มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ผู้ร่ำรวยติดอันดับ 2 ของฮ่องกง ที่มีการมอบเงินให้กับมูลนิธิต่างๆ อย่างมากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็นนักการกุศลของชาวฮ่องกงไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า เราไม่ต้องรอให้ยิ่งใหญ่อย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์, บิลล์ เกตส์ หรือแม้แต่ แจ็ค หม่า แต่สามารถสร้างความมั่งคั่งไปพร้อมกับการทำเพื่อสังคมได้ ขอแค่มี “แรงจูงใจ” และ “ความกระตือรือร้น” ที่จะทำเพื่อสังคม

“ขอแค่คุณมีแรงขับและใจที่อยากช่วยเหลือสังคมจริงๆ ก็สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะอย่าลืมว่า นักธุรกิจหรือคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ ท่าน ก็ล้วนเคยจนมาก่อน ฉะนั้นการที่จะกลับไปเสริมอาชีพ สร้างรายได้ หรือสร้างความเจริญให้กับถิ่นกำเนิดของตน ก็น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ง่ายสุด ที่สำคัญเราสามารถช่วยสังคมในสิ่งที่ถนัด และทำด้วยตัวของเองได้ไม่จำเป็นต้องเป็นองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น”

เขายกตัวอย่าง “เหยา หมิง” นักบาสเกตบอลชื่อดังชาวจีนวัย 35 ปี ที่เคยทำรายได้สูงสุดติดอันดับโลก ซึ่งขึ้นชื่อว่า เป็นนักกีฬาใจบุญคนหนึ่งของจีน โดยหลังอำลาวงการเขาตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสังคมของตัวเองขึ้น และทำในเรื่องที่ถนัดก็คือการกีฬา ขณะก่อนหน้านั้นก็มีการแบ่งรายได้เพื่อทำการกุศลมากมาย เช่น บริจาคเงินเพื่อซ่อมโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ในมณฑลเสฉวน หรือเล่นบาสการกุศลเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือเด็กยากไร้ที่ประเทศจีน เป็นต้น

“Social Enterprise หรือภาษาฟอร์บส เราเรียกว่า วิสาหกิจทางสังคม มองว่า ในเมืองไทยเราเห็นประเทศอื่นเขาทำกันมามากแล้ว ก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ เพราะยังมีคนที่ต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะมาก สมัยก่อนการทำเพื่อสังคม อาจแค่การบริจาคเงิน แต่วันนี้ Social Enterprise จะเป็นคำตอบของความยั่งยืนที่แท้จริง” เขาบอก

ส่วนหัวใจของความยั่งยืนนั้น เขาขยายความว่า SE ต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้ เพราะถ้ายังเอาตัวไม่รอด ก็คงไม่สามารถไปช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ฉะนั้นสิ่งสำคัญเลยคือ การมี Business Model ที่ดี ที่เวิร์ค เติบโตได้ และสร้างความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

เพื่อเริ่มต้นสร้างความมั่งคั่ง ในวิถีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่เลือกร่ำรวยไปพร้อมกับทำเพื่อสังคมด้วย