“UncleRee’s Farm” สุขสีเขียว ของคุณลุงฮิปสเตอร์

อายุแค่27แต่ถูกเรียกว่า“ลุง”แต่งตัวอย่างเท่ แต่อาชีพแท้ๆ คือคนเลี้ยงไส้เดือน เขาคือ“ลุงรีย์” เกษตรกรสายพันธุ์ฮิปสเตอร์ผู้ปลุกปั้นเกษตรแฟชั่น
ชายหนุ่มสวมแว่นทรงกลม ในชุดเอี๊ยมยีนส์สีฟ้า กับหมวกฟางสีน้ำตาลอ่อน ชูสองมือ ยิ้มร่า อ้าปากกว้าง คือภาพจำแรกที่ผู้คนจะได้พบ เมื่อแวะเยือน “ฟาร์มลุงรีย์” (UncleRee's Farm) สวนเกษตรน่ารักน่าชังขนาดเท่าโรงรถ ที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านภาษีเจริญ ดึงดูดผู้คนให้มาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย
เจ้าของฟาร์มที่หน้าตาเหมือนถอดแบบมาจากภาพวาด คือ “ชารีย์ บุญญวินิช” หรือที่ผู้คนเรียกกันติดปากว่า “ลุงรีย์” เขาเพิ่งอายุแค่ 27 ปี เลยเป็นคุณลุงที่อายุน้อยสุด!
“ไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ เขาก็เรียกผม ‘ลุงรีย์’ สรุป ลุงรีย์ แปลว่า ‘You’ คือเครื่องแปลภาษา ที่จะแปลเรื่องเกษตรซึ่งเข้าใจยาก ให้ไปเป็นภาษาวัยรุ่น ที่เข้าใจง่าย”
คุณลุงฮิปสเตอร์ บอกเล่าเรื่องราวของเขา ระหว่างขึ้นเวที “Creative Citizen Talk 2015: Sustainable Now สีเขียวเดี๋ยวนี้” ที่จัดโดย Creative Citizen ที่ผ่านมา
เขาไม่ได้เริ่มต้นชีวิตจากอาชีพเกษตร ไม่ได้โตมาในครอบครัวที่ทำเกษตรกรรม แต่ผ่านงานมาทั้ง นักออกแบบ พ่อครัว และพระ เคยทำงานทั้งในและต่างประเทศ ทุกอาชีพทุกบทบาทที่เล่ามา คือ “พรหมลิขิต” ที่ชักนำให้เขาได้มารู้จักกับ “ไส้เดือน” คนอื่นอาจร้องยี้ แต่ลุงรีย์เรียกคู่ชีวิตของเขาว่า “เครื่องจักรชีวภาพย่อยสลายขยะ”
“ผมเคยเป็นพ่อครัว มาปิ๊งกับไส้เดือนก็ตอนที่ทำอาหาร เพราะเกิดขยะจากเศษผักจำนวนมหาศาล”
เขาจึงเกิดความคิดที่อยากกำจัดขยะเหล่านั้น ซึ่งหนึ่งในเครื่องทำลายล้างชั้นยอด ก็คือ “ไส้เดือน” ที่สำคัญไม่ใช่แค่จัดการขยะของโต ทว่ายังตอบแทนกลับมาด้วย “ปุ๋ยไส้เดือน” ที่จะสร้างมูลค่าให้คนเลี้ยงได้อีกมาก นั่นเองที่ให้คนหนุ่มตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วมาทำอาชีพใหม่ ที่มีแรงงานเป็นแสนเป็นล้าน “ตัว”
“ตอนเริ่มต้น ผมมีลูกน้องแค่ 1 พันคน ผ่านไป 1 ปีแรก มีพนักงานประมาณ 1 หมื่นคน และปีหน้า ผมกำลังจะมีพนักงาน 1 ล้านคนแล้ว”
เขาบอกองค์กรขนาดใหญ่ ที่ใช้แรงงานเป็นแสนเป็นล้าน ที่สำคัญแรงงานเหล่านี้ยัง “ทำงาน” และ “ทำเงิน” ตลอดเวลา โดยไม่ต้องออกกฎ ห้ามเหนื่อย ห้ามพัก
“ไส้เดือนเป็นเครื่องจักรชีวะภาพที่ทำงานตลอดเวลา ยามผมหลับ ก็เหมือนมีเงินเพิ่มขึ้น ผมไปต่างจังหวัด ไปเที่ยวกลับมา แต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินไปตามปกติ ทำให้รู้สึกเหมือนพบรักแท้”
ลุงรีย์เล่าเรื่องราวความรัก ระหว่างมนุษย์กับไส้เดือน ที่ทำให้เขาได้หลุดจากวงจรเกษตรกรแบบเดิมๆ ประเภทต้องทนเหนื่อย ทนร้อน ตากแดดตัวดำ ทำงานหนัก ซ้ำยังเงินน้อย มาเป็นเกษตรหัวกบฏ ผู้คิดกลับด้าน โดยทำเกษตรในความมืด และใช้พื้นที่น้อย อย่างการเลี้ยงไส้เดือน
“ไส้เดือนให้ผลผลิตสามอย่าง หนึ่งปุ๋ย เราขายเป็นมูลไส้เดือน สอง น้ำหมักมูลไส้เดือน และสาม ตัวของเขาเอง เมื่อก่อนเริ่มต้นที่ 5 พันบาท ต่อ 1 กิโลกรัมประมาณ 1 พันตัว ง่ายๆ คือ ตัวละ 5 บาท ปัจจุบัน ราคาตกลงมาเป็น 3 พันบาท และ 1 พันบาท แต่มีแนวโน้มที่จะขึ้นเป็น 3 พันอีกครั้ง”
ลุงรีย์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ ถึงโอกาสหวานๆ ในธุรกิจคนขายไส้เดือน แต่ไม่ได้มีแค่นั้น ก็บอกแล้วว่าเขามันเกษตรหัวกบฏ เลยต่อไอเดีย จากนำขยะมาเลี้ยงไส้เดือน ได้ปุ๋ยเอาไปปลูกผัก ได้ผักนำไปแปรรูปขาย มีทั้งผักสด มีกิมจิ ชูความเป็นผลิตภัณฑ์ “ออร์แกนิก” ขนานแท้ เศษขยะที่เกิดขึ้นก็หมุนวนต่อไปเลี้ยงไส้เดือน ส่วนปุ๋ยไส้เดือนยังแพคถุงขาย แต่ไม่ได้ทำตลาดแบบบ้านๆ ทว่าวางขายกันในร้านกาแฟ และออกงานแฟร์ชิคๆ นี่คือแต้มต่อของคนที่มีหัวครีเอทีฟอย่างเขา
“มาคิดว่า จะทำอย่างไรให้ได้มูลค่าขึ้น ก็ต้องทำให้มันไปอยู่ในที่ที่ขายแพงได้ ปุ๋ยของผมเลยอยู่ในร้านกาแฟ โดยผมขอกากกาแฟจากผู้ประกอบการ เป็นกาแฟชั้นดี ชั้นเริ่ด เอามาให้ไส้เดือนกิน กลายเป็นปุ๋ยสูตรไส้เดือนตัวหอม แล้วเอาปุ๋ยเหล่านั้นมาขาย โดยที่คนขายก็คือเจ้าของร้านกาแฟนั้นๆ เขาเองก็ภูมิใจ ที่ไม่มีสิ่งตกค้างออกจากร้านของเขา”
คิดต่ออีกหน่อย จะทำอย่างไรให้ความรู้แบบปราชญ์ชาวบ้าน แปรคลื่นความถี่ให้วัยรุ่นเข้าใจได้ง่ายๆ ที่มาของการเปิดคอร์สอบรม เพื่อให้ผู้คนได้มารู้จักกับโลกของไส้เดือน ซึ่งถึงปัจจุบันสอนไปแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคน
“สิ่งที่ผมทำอยู่ เป็นเรื่องของเกษตรสมัยใหม่ ที่จะลบภาพการเกษตรแบบเดิมๆ ให้ตีแผ่ออกไป เหมือนที่เมื่อถึงวัยหนึ่งเราจะพาลูกไปเรียนว่ายน้ำ นี่ก็พาไปเรียนเลี้ยงไส้เดือน ไปเรียนปลูกผัก ฉะนั้นเรื่องการเลี้ยงไส้เดือนผมถือว่า เป็นทักษะสามัญประจำสวน” เขานิยามไว้อย่างนั้น
นี่คือวิถีใหม่ของธุรกิจสีเขียว ที่เกษตรกรเด็กแนวเลือกลงมือทำ โดยเปลี่ยนโลกของการเลี้ยงไส้เดือน ให้กลายเป็น “เกษตรแฟชั่น” ที่ใครๆ ก็อยากสัมผัสและอยากเป็นแบบลุงรีย์
“ปีที่สามของผม ผมเริ่มไม่ทำงานคนเดียว แต่มีพรรคพวก หนึ่งเลยคือ ผู้อบรม สองคือคนที่เป็นแบบเดียวกับผม อย่างถ้าผมต้องไปศึกษาเรื่องเห็ด ผักสลัด ผมอาจใช้เวลาอย่างละ 5 ปี แต่ถ้าผมมีสหาย มีมิตร มีพี่ชาย หรือน้องสาว ผมสามารถร่นระยะเวลาตรงนั้นได้ แค่แลกเปลี่ยนความรู้กับเขา” คนหนุ่มบอก
นั่นทำให้องค์ความรู้ที่ต้องสั่งสมกันชนิด 10-20 ปี แล้วไปประสบความสำเร็จเอาตอนอายุ 40-50 ปี แต่วิถีของการแบ่งปันอาจทำให้เขาสามารถบรรลุทุกอย่างได้ ในวัยแค่ 30 ปีเท่านั้น
“อยากให้มองว่า เราต้องแชร์ ต้องให้ ต้องรู้จักที่จะให้เป็น แล้วเราจะให้ได้เมื่อไร เมื่อเราเป็นต้นไม้ใหญ่ก่อนหรือเปล่า สำหรับผม ผมเปิดคอร์สสอนตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ผมรู้จักไส้เดือนด้วยซ้ำ ฉะนั้นเราต้องแลกความรู้กัน”
จากคนโนเนม วันนี้ลุงรีย์กลายเป็นคนมีตัวตนในสังคม ได้ปรากฏตัวผ่านสื่อ และกลายเป็นแรงบันดาลใจของเด็กรุ่นใหม่หลายๆ คน
“เมื่อก่อนผมเคยอิจฉาคนที่มีต้นทุนชีวิตที่ดีกว่า แต่วันนี้ผมไม่อิจฉาใครเลย เพราะสุดท้ายผมรู้ว่าคุณค่าของความสุขที่แท้จริงคืออะไร ความสุขของผมคือการได้อยู่บ้านอย่างมีคุณภาพ และการที่ผมเป็นทั้ง นักออกแบบ พระ และครู มันคือแกงจับฉ่ายหม้อใหญ่ อย่าลืมว่า แกงจับฉ่ายไม่ได้ใส่ผักชนิดเดียว ฉะนั้นใครเคยทำอะไรผ่านมา จงอย่าทิ้งมัน อย่าเปลี่ยนอาชีพ แต่สามารถรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วมาร่วมเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันได้”
ก็เขามันเกษตรกรพันธุ์ใหม่ ที่ต้องทำตามใจตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นวัยรุ่นก็คงไม่สนใจอาชีพนี้ ส่วนการทำตามใจตัวเองที่ว่า ก็อย่าง อยากทำอาหารก็ได้ทำกิมจิ อยากไปรีแล็กซ์ ก็ได้ปลูกต้นไม้ อยากดีไซน์ ยังได้ออกแบบผลิตภัณฑ์คูลๆ ว่างๆ ก็ถ่ายรูปลงอินสตาแกรม เฟซบุ๊ค อัพเดทชีวิตตัวเอง แต่งเพลงแล้วอัดคลิปลงยูทูป ได้ทดลองอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ละวันของคนทำเกษตร เลยผ่านไปแบบไม่จำเจเลยสักนิด
นั่นคือเหตุผลที่เขาบอกว่า ไม่อยากไปทำอาชีพอื่นแล้ว ไม่ใช่เพราะติดใจการทำเกษตร แต่เพราะเกษตรแบบเขาไม่จำเป็นต้องมีอาชีพอื่นเข้ามาแล้ว เพราะทุกอาชีพล้วนมีส่วนร่วมกับการทำเกษตรได้ทั้งนั้น
“ผมใช้ชื่อ ‘ลุงรีย์’ เพราะอยากทำเกษตรไปจนถึงบั้นปลายชีวิต ใช้ปู่อาจดูไม่แข็งแรง แต่ลุง คือคนที่ยังมีกำลังวังชา และเป็นมิตร”
เขาให้คำตอบถึงที่มาของสรรพนามเกินวัย เพราะยังอยากทำอาชีพเกษตรไปจนถึงวัยที่ทุกคนเรียก “ลุง” ได้เต็มปาก







