IRPC - ถือ

IRPC - ถือ

กำไรสุทธิ 1H15 เติบโต 1,418%YoY แต่ยังคงคาดกำไรทั้งปีตามเดิม

ประเด็นสำคัญในการลงทุน : 

- รายงานกำไรสุทธิ 1H15 เติบโตสูงมากจากปีก่อน : IRPC รายงานกำไรสุทธิ 1H15 ที่ 8,079 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,418%YoY โดยประเด็นหลักที่ทำให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างมากจากเงินเคลมประกันไฟไหม้หน่วย VGOHT เมื่อกลางปีที่แล้ว และการกลับรายการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวมกว่า 3 พันล้านบาท หากไม่รวมรายได้อื่นกำไรปกติของ IRPC ใน 1H15 อยู่ที่ 4,195 ล้านบาทเติบโต 321%YoY อย่างไรก็ตามธุรกิจหลักทั้ง 3 ธุรกิจมีผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยธุรกิจปิโตรเลียมมีปริมาณขายเพิ่มสูงขึ้นหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง อีกทั้งค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นกว่า 2.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสู่ระดับ 6.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อเทียบเป็นรายปี ธุรกิจโอเลฟินส์มีส่วนต่างผลิตภัณฑ์ HDPE/PP กับแนฟทาปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเป็นรายปีเพราะราคาแนฟทาปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน และโรงงานผลิตในต่างประเทศหยุดซ่อมบำรุง ธุรกิจกลุ่มอะโรเมติกส์มีส่วนต่างผลิตภัณฑ์โทลูอีก/มิกซ์ไซลีน กับแนฟทาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากอุปทานที่ตึงตัวหลังโรงงานในเกาหลีและญี่ปุ่นลดกำลังการผลิต นอกจากนี้บริษัทได้ดำเนินการโครงการเดลต้าซึ่งเป็นโครงการลดค่าใช้จ่ายมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเริ่มส่งผลใน 1H15 ที่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้แล้ว 2.4 พันล้านบาทยังเป็นตัวหนุนต่อกำไรสุทธิของ IRPC เพิ่มเติม

- คาดโครงการ UHV แล้วเสร็จปลายปีนี้ช่วยหนุนกำไรปี2016 : โครงการ UHV เป็นโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ซึ่งจะเปลี่ยนน้ำมันเตาเป็นโพรพิลีนที่สร้างกำไรได้ดีกว่า ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นตัวหนุนต่อกำไรปกติในปี 2016 อีกอย่างน้อย 1.5 พันล้านบาทตามประมาณการของเรา และเป็นจุดเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของ IRPC ในอนาคต

- แนะนำ “ถือ” เป้าราคาปี 2016 ที่ 4.26 บาท : ฝ่ายวิจัยประมาณการกำไรปี 2015 ที่ 9,265 ล้านบาท แม้ว่ากำไร 1H15 จะคิดเป็น 87% ของประมาณการ แต่เรามองว่าในช่วงครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานจะปรับตัวลงตามค่าการกลั่นที่ลดลงและอาจมีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบหลังราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลงอีกครั้ง แต่มีมุมมองเชิงบวกต่อกำไรปกติในปี 2016 เพราะ IRPC มีโครงการเดลต้าที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ราวปีละ 4 พันล้านบาท และมีโครงการ UHV ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จะทำให้กำไรของ IRPC เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี PBV Ratio โดยอิง Prospective PE ที่ 1.12 เท่าซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในอดีตได้ราคาเหมาะสมที่ 4.26 บาทซึ่งสูงกว่าราคาปิดล่าสุดแต่แนะนำเพียง “ถือ” เพราะกำไรปี 2016 มีแนวโน้มลดลงเนื่องจากเราประเมินว่ารายได้อื่นในปี 2016 จะปรับตัวลง