‘ภานุวัจน์ ทองร่มโพธิ์’ ‘ผมไม่อยากเป็นแค่เงาของพ่อ’

‘บอส-ภานุวัจน์’ลูกคนโต‘สุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์’ CEO SF Cinema สู่ธุรกิจครอบครัวพร้อมแรงผลักซ่อนอยู่ในส่วนลึกคือ สร้างชื่อเขา ไม่ใช่แค่เงาของพ่อ
“ผมรู้สึกว่า เงินของพ่อ เงินของกงสี ไม่ใช่เงินของผม ถ้าเอามาใช้ผมรู้สึกผิด ผมไปเรียนต่างประเทศมาระยะหนึ่ง ซึ่งต้นทุนสูงมาก มองว่านั่นเป็นเงินที่ผมยังไม่ควรได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะทำหลังเรียนจบคือการกลับมาทุ่มเททำงานเพื่อใช้คืนเงินก้อนนั้น แม้ผมมีความฝัน แต่ก็ต้องมาต่อยอดความฝันของคุณพ่อเช่นเดียวกัน”
“บอส-ภานุวัจน์ ทองร่มโพธิ์” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) วัย 24 ปี ลูกชายคนโตของ “สุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์” CEO แห่งเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น บอกเล่าการตัดสินใจเมื่อประมาณ 3-4 ปี ก่อน หลังจบปริญญาตรีด้านการเงินและการบัญชี (Accounting and Finance) จาก Monash University ประเทศออสเตรเลีย และเริ่มเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวด้วยวัยเพียง 20-21 ปีเท่านั้น
เราได้เจอกับทายาทคนโตของ SF Cinema ระหว่างร่วมงานปิดโครงการ “Tisco Wealth Enhancement Program (WEP)” หรือ “WEP รุ่น3” หลักสูตรบริหารความมั่งคั่งสำหรับผู้นำยุคใหม่ ของกลุ่มทิสโก้ ซึ่งหนุ่มบอสเป็นสมาชิกที่อายุน้อยสุดในรุ่น
แม้อายุยังละอ่อน
ทว่า วิธีคิด คำพูดคำจา กลับดูโตกว่าวัยมาก นี่อาจเป็นผลพวงจากการที่เขาต้องอยู่แวดล้อมคนมีอายุมากกว่ามาตั้งแต่เด็ก โดยหนุ่มบอสเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่วัยเพียง 15 ปี พอ 19 ปี เขาก็เรียนจบปริญญาตรี
“ผมมีตัวเปรียบเทียบคือ คุณพ่อ ท่านเริ่มทำงานตั้งแต่ยังเด็กมาก คืออายุ 17 ปี พอดีคุณปู่เสีย ท่านเลยต้องมาทำ จึงเหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้ผมต้องมีความรับผิดชอบเหนืออายุของตัวเองมาตลอด”
คนหนุ่มบอกกับเรา และย้ำว่า คนเป็นพ่อไม่เคยบังคับให้มาสานต่อธุรกิจครอบครัว ไม่แม้แต่เอ่ยปากพูด แต่เป็นความรับผิดชอบที่ลูกชายคนโตอย่างเขาพึงรับรู้สถานะนี้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว
การจากบ้านไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่ชั้นมัธยม ยังไม่เคยได้ลงมาคลุกคลีกับธุรกิจของครอบครัวอย่างจริงจัง รู้แต่เพียงเป็นธุรกิจโรงหนัง เมื่อวันที่ต้องมาช่วยงาน หนุ่มบอสยื่นข้อเสนอกับพ่อว่า อยากไปเป็นพนักงานขายตั๋ว
“ตอนเข้ามาวันแรกผมไปขายตั๋วก่อนเลย เลือกเอง เพราะรู้สึกว่า การที่เราจะบริหารคนหรือบริหารงานได้ ต้องรู้เสียก่อนว่างานตรงนี้คืออะไร ซึ่งหัวใจของโรงหนัง คือ หน้างาน คือระบบปฏิบัติการ คือคนที่ชนกับลูกค้า และผมคงไม่มีทางเข้าใจการทำงานตรงนี้ได้เลย ถ้าไม่ไปเป็นเขา”
ลูกเจ้าของเลยมาเป็นพนักงานหน้าเคาท์เตอร์ขายตั๋วอยู่หลายเดือน มีโอกาสเรียนรู้งานจากผู้จัดการที่เก่ง ซึ่งพ่อจัดไว้ให้ การเป็นคนช่างซัก ช่างถาม ทำให้คนหนุ่มได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ที่ไม่ต้องไปหาอ่านจากตำราเล่มไหน
จากคนขายตั๋วก็ขยับมาเป็นพนักงานแบ็กออฟฟิศ ทำงานด้านการตลาด เปลี่ยนจากลูกค้าหน้าเคาท์เตอร์ขายตั๋ว ที่เจอกันแค่ 30-60 วินาที มาเป็นลูกค้าที่เป็นคนถือเงิน เป็นค่ายหนัง ที่ถือคอนเท้นต์
“ผมได้เรียนรู้ว่า โรงหนังก็ไม่ต่างจากธุรกิจอื่น การตลาดบางอย่างเราทำได้ บางอย่างไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่เคยทำแล้วไม่เวิร์ค ผมเรียนรู้ตรงนี้อยู่ถึงสองปี ได้คุยกับคนที่ซีเนียร์กว่า ก็เหมือนทดสอบตัวเองไปด้วยในตัว ซึ่งผมอาจไม่มีประสบการณ์มากก็จริง แต่ก็มี Logic (เหตุและผล)ในความคิด เชื่อว่า คนฟังสัมผัสได้”
เขาบอกวิธีสร้างการยอมรับและปรับตัวกับการทำงาน เพื่อก้าวข้ามการเป็น “ลูกชายคุณสุวัฒน์” เด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ มาเป็นพนักงานที่ทุกคนยอมรับให้ได้ โดยค่อยๆ เชฟความคิดจากเด็กที่เคยอารมณ์ร้อน พูดตรง มาเรียนรู้และเข้าใจสังคมการทำงานแบบไทยๆ มากขึ้น
“แต่ก่อนผมจะพูดตรงมาก ถามว่าดีไหม ก็ชัดเจนดีนะ แต่ในสังคมไทย เราสามารถพูดสิ่งที่มีความหมายเดียวกัน แต่ในวิธีที่อ้อมกว่านี้ได้ เพราะในสังคมเรายังมีคำว่า ถนอมน้ำใจ มีคำว่าเกรงใจ ซึ่งผมได้เรียนรู้และเริ่มนิ่งขึ้น”
แม้จะรักอิสระ และชอบอยู่คนเดียว เพราะใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่เมืองนอกมาแต่เล็ก หากแต่วันนี้เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น เลิกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่เอาองค์กรเป็นตัวตั้ง และเริ่มเข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น
“ผมมองว่า ทุกคนในองค์กรก็เหมือนจิ๊กซอว์ที่มาต่อกันให้เป็นภาพที่สมบูรณ์ แต่การที่เราจะต่อจิ๊กซอว์ร่วมกันได้ คนของเราต้องมีความสุขก่อน เพราะถ้าเขาไม่สนุก ไม่ชอบ ก็คงทำไม่ได้ เลยมองว่า การแก้ปัญหาที่ถูกต้องเริ่มที่พนักงาน ที่นอกจากต้องรักองค์กรแล้ว เขาต้องอยากนำพาองค์กรให้เติบโตไปด้วย ซึ่งนี่เป็นความท้าทายที่ผมอยากทำ” เขาบอก
วันนี้ยังอยู่ในขั้นของการเรียนรู้ธุรกิจครอบครัว ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า พ่อไม่ได้สอนตรงๆ ไม่มีไบเบิลให้มาเปิดอ่าน แต่อาศัยเรียนรู้จากการ “ดูพ่อทำ”
“สิ่งที่ผมเรียนรู้จากคุณพ่อ คือ การให้ไปก่อน บางครั้งท่านยอมแพ้ได้ ยอมเสียได้ แต่คนรุ่นผม “กิฟ” แอนด์ “เทค” หรือจริงๆ ต้องเทคก่อนแล้วค่อยกิฟด้วยซ้ำ แต่รุ่นคุณพ่อไม่ใช่ ท่านให้ไปก่อนเลย โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้อะไรกลับมา แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ ไม่ว่าท่านให้ใครไปก็ตาม จะได้กลับมา และได้มากกว่าเดิมด้วย” ลูกชายบอกบทเรียนสุดลึกซึ้ง ที่ได้เรียนรู้จากคนเป็นพ่อ ซึ่งคงไม่มีตำรา MBA เล่มไหนได้บอกไว้
ในบทบาทของทายาท เขายังอยากเห็นธุรกิจครอบครัวเติบใหญ่ไปในอนาคต ทั้งการขยายสาขาในประเทศและตลาดเออีซี ที่ยังต้องดูจังหวะและความพร้อม โดยมีคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจน คือไม่ได้เน้นที่จำนวนสาขา ทว่าทุกสาขาต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง เวลาเดียวกับเตรียมพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของเอสเอฟ ในการไปสู่ดิจิทัลแพลทฟอร์มโดยสมบูรณ์ เพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของผู้คนในโลกยุคใหม่
“ในอนาคตผมมองว่า การแข่งขันจะเปลี่ยนมาทางดิจิทัลมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสะดวกที่สุด จนอาจถึงขั้นที่ว่า ลูกค้ากดในมือถือแล้วสามารถเดินเข้าโรงหนังได้เลย ถึงจุดนั้นคนจะแข่งกันที่ความเร็ว ความเสถียรของแอพ ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัย แม้แต่เก้าอี้นั่งต่อไปก็คงคัสตอมไมซ์กับลูกค้ามากขึ้น เช่น ขึ้นชื่อลูกค้า หรืออาจมีเค้กวันเกิดมาเซอร์ไพรส์ในโรงหนังเลยก็ได้” เขาบอกความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจโรงหนังในอนาคต และคงจะเห็นภาพเหล่านี้ชัดขึ้น ในวันที่ธุรกิจผลัดใบมาอยู่ในมือของทายาทอย่างเขา
เพราะคิดมาตลอดว่า เงินของพ่อ ธุรกิจของพ่อ ไม่ใช่ของตัวเขา และคงรู้สึกผิดเอามากๆ ถ้าจะหยิบมาใช้ นั่นคือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาคิด Startup ธุรกิจของตัวเองไปพร้อมกับเรียนรู้ธุรกิจครอบครัว โดยปัจจุบันบอสมีร้านไอศกรีมชื่อ “ชิบูย่า ซอฟท์” และธุรกิจเว็บไซต์ที่กำลังพัฒนาอยู่ โดยเขาเชื่อว่า ชีวิตคือการหาโอกาสอยู่เสมอ
“ผมอยากสร้างสตอรี่ให้ตัวเอง เพราะผมก็มีชีวิต มีตัวตน ไม่ได้เป็นแค่เงาคุณพ่อ ผมอยากให้ความสำเร็จของตัวผม ทำให้คนอื่นยอมรับ ไม่ใช่เพราะการเป็นลูกคุณสุวัฒน์..ผมไม่อยากเป็นแค่เงาของพ่อ” เขาบอก
ทุกวันนี้ทายาทโรงหนังยังชอบไปดูหนังในโรง ไปในฐานะลูกค้า เพื่อแอบดูการให้บริการของพนักงานเขา มีเวลาก็ไปลงเรียนหลักสูตรพัฒนาความรู้ เรียนเขียนโปรแกรม ตั้งเป้าอ่านหนังสือสัปดาห์ละ 1-2 เล่ม เขาทำอะไรมากมายเพราะคิดอยู่เสมอว่า ยังรู้น้อย ด้วยนิสัยไม่ชอบมองข้างหลัง แต่ชอบมองคนที่อยู่ข้างหน้ามากๆ และอยากเป็นให้ได้อย่างนั้นบ้าง
เลยหล่อหลอมเขาให้เป็นผู้บริหารช่างใฝ่รู้ ผู้เลือกเขียนเรื่องราวของตัวเอง โดยไม่ขอเป็นแค่เงาของพ่อ







