ฟื้นฟู LIVE ภารกิจวัดฝีมือ 'ดิศกุล'

ฟื้นฟู LIVE ภารกิจวัดฝีมือ 'ดิศกุล'

'ม.ล.ศานติดิศ ดิศกุล' ขุนพลคนใหม่ บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น ปรับโมเดลธุรกิจ-ทีมบริหารยกแผง พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ 'โฮลดิ้งคอมพานี'

'แม้จะยังไม่เห็นสัญญาณเทิร์นอะราวด์ แต่กระแสเงินสดไตรมาส 2/57ที่มีมากถึง 260 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน แถมบริษัทยังดำเนินธุรกิจป้ายโฆษณา ซึ่งเป็นงานที่คลุกคลีมานานกว่า 6 ปี' 

สองข้อดีนี้ทำให้ 'หนุ่มโอ๊ต-ม.ล.ศานติดิศ ดิศกุล' (แปลว่า ผู้สงบ) ลูกชายคนเล็กวัย 38 ปี จากจำนวนพี่น้อง 2 คน ของ 'ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล' (แปลว่า หลานของดิศ) หรือ 'คุณชายดิศนัดดา' ตัดสินใจทุ่มเงินซื้อ หุ้น ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น หริอ LIVE เมื่อปลายปี 2557 ต้นทุนเฉลี่ย 0.30-0.35 บาท ทำให้โดดขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วนการถือหุ้นเฉลี่ย 11.15%

แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่าง LIVE กับ 'หม่อมหลวงโอ๊ต' เกิดขึ้นมาเมื่อสิบปีก่อน หลัง LIVE ทุ่มเงิน 200 ล้านบาท ซื้อบริษัท นวดิศ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจป้ายโฆษณา ซึ่งบริษัทดังกล่าวเขาได้ร่วมก่อตั้งกับเพื่อนมาตั้งแต่ปี 2544 ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ถือหุ้นคนใหม่คุ้นเคยข้อมูลของบริษัทนี้เป็นอย่างดี เมื่อได้จังหวะราคาหุ้นอยู่ในระดับสมเหตุสมผลจึงตัดสินใจเข้าลงทุน

เพียงเพราะมีความเชื่อที่ว่า คอนเน็ตชั่นที่สะสมมานาน จากการทำงานป้ายโฆษณาจะสามารถทำให้องค์กรแห่งนี้ เปลี่ยนภาพลักษณ์จาก 'หุ้นปั่น' เป็น 'หุ้นเติบโต' ในอนาคต แม้วันนี้อาจต้องเหนื่อยกับการแก้ปัญหาภายในที่ทีมเก่าทิ้งซากไว้ให้สะสาง แต่ 'หนุ่มโอ๊ต' ก็ยืนยันหนักแน่นกับผู้เป็นพ่อว่า 'อยากบริหารองค์กรแห่งนี้ให้มีความยั่งยืน เพราะต้องการส่งต่อธุรกิจให้เจเนอเรชั่นต่อไปของตระกูล'

ทว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ดูเหมือนจะเป็นงานถนัดของชายชื่อ 'ศานติดิศ' เพราะตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขามักทุ่มเงินลงทุนใน 'หุ้นเก็งกำไร' ที่ผ่านมาถือลงทุนมาแล้วหลากหลายตัว เช่น หุ้น บลิส-เทล หรือ BLISS ,หุ้น คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ CGS และหุ้น อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ หรือ IEC เป็นต้น

เขาให้เหตุผลของการซื้อหุ้น BLISS ต้นทุน 0.10 บาท ว่า ก่อนหน้านี้มีสตอรี่ที่ว่า มีรายใหญ่จะเข้ามาซื้อหุ้น และธุรกิจกำลังจะเทิร์นอะราวด์ สุดท้าย 'วิชัย ทองแตง' ก็เข้ามาลงทุน ฉะนั้นคงถือหุ้นตัวนี้ต่อไป ส่วนหุ้น CGS ปัจจุบันไม่มีหุ้นเหลืออยู่ในมือแล้ว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้าของ 'เสี่ยไมค์-สดาวุธ เตชะอุบล' พ่อภรรยา (หลุยส์ ดิศกุล ณ อยุธยา)

สายเลือดนักเล่นหุ้นอาจได้มาจากผู้เป็นพ่อก็เป็นได้ เพราะในอดีต 'คุณชายดิศนัดดา' เคยร่ำรวยจากหุ้นเพียงตัวเดียว นั่นคือ หุ้น ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ต้นทุน 100 กว่าบาท ถือลงทุนไม่กี่ปีปล่อยออกในราคา 400 บาท (ระหว่างนั้น SCC มีการแตกตาร์) ปัจจุบันขายหมดแล้ว เพราะต้องการนำเงินมาลงทุนกับลูกชายใน LIVE

'ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล' ถือโอกาสเล่าความเป็นตัวตนของลูกชายคนเล็กให้ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' ว่า ผมมีลูกชายสองคน 'ดุ๊ก' ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล' แปลว่า เหลนของดิศ เป็นลูกชายคนโต ทั้งคู่เกิดในวังสระปทุม ตั้งแต่มีเขาสองคน ผมบอกตัวเองว่า หนึ่งคนของตระกูลจะต้องทำงานเพื่อชาติ ส่วนอีกคนหากอยากทำธุรกิจก็จะดีมาก สุดท้ายคนโตก็มาช่วยพ่อทำงานในมูลนิธิปิดทองหลังพระ ในอดีตเคยช่วยงานในโครงการพัฒนาดอยตุงตอนปี 2548

ส่วนคนเล็กมีสายเลือดพ่อค้ามาตั้งแต่วัยเยาว์ สมัยอายุ 4 ขวบ เคยพา 'โอ๊ต' ไปเขื่อนวชิราลงกรณ์ เขาไปซื้อแผงลอยจับฉลากรางวัลมาห้อยคอเดินเร่ขายทั่วเขื่อน ซึ่งคนรู้จักพ่อก็พากันมาอุดหนุน และเคยไปขายน้ำในสำนักงานวังสระปทุม เมื่อเติบโตเขาตัดสินใจเหินฟ้าไป เรียนปริญญาตรี สาขาที่เกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจ ประเทศสหรัฐอเมริกา

หลังเรียนจบก็มาทำงานในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบริหารหนี้ ก่อนจะไปเรียนต่อปริญญาโทด้านไฟแนนซ์ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ นั่งทำงานได้ปีกว่า ก็ลาออกมาตั้งบริษัท นวดิศ จำกัด ผู้ประกอบการป้ายโฆษณากับเพื่อนๆ

ม.ล.ศานติดิศ ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น หริอ LIVE เล่าแผนธุรกิจแบบเอ็กซ์คลูซีฟให้ฟังว่า ตั้งแต่เข้ามานั่งบริหารได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจ และทีมบริหารใหม่ โดยในส่วนของทีมบริหารได้ชักชวนนายเก่า เพื่อนเก่า มารวมทำงาน
ขณะเดียวกันยังเดินหน้าลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะต้นทุนที่เกี่ยวกับบุคลากรที่มีมากเกินความจำเป็น ที่ผ่านมาปลดพนักงานออกไปแล้วประมาณ 34 คน ส่งผลให้ต้นทุนลดลงทันที 33% ปัจจุบันบริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจไปได้แล้ว 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นการปรับปรุงภายในเล็กน้อย

'จากนี้บริษัทจะเดินธุรกิจลักษณะ 'โฮลดิ้งคอมพานี' ใน 4 ธุรกิจหลัก นั่นคือ ธุรกิจสื่อ ,ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง,ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจพลังงาน' 'หม่อมหลวงโอ๊ต' ยืนยันเช่นนั้น

ในส่วนของ 'ธุรกิจสื่อ' เราจะเน้นหาเงินจาก 6 ธุรกิจ นั่นคือ 1.ธุรกิจเอเจนซี่ 2.ธุรกิจอีเว้นท์ 3.ธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้ง 4.ธุรกิจให้บริการสำหรับการบริหารจัดการช่องโทรทัศน์ดาวเทียม 5.ธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ 6.ธุรกิจให้บริการระบบออกอากาศรายการโทรทัศน์ สตูดิโอ และอุปกรณ์ต่างๆ
โดยธุรกิจที่ 1-2 บริษัทดำเนินกิจการภายใต้ บริษัท สปิน เวิร์ค จำกัด (SPW) ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 51% ส่วนธุรกิจที่ 3-6 ดำเนินการภายใต้ บมจ.ไลฟ์ มีเดีย กรุ๊ป ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 99.99% ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

๐ปี 59 เล็งซื้อกิจการป้ายโฆษณา

'นายใหญ่' เล่าต่อว่า สำหรับธุรกิจป้ายโฆษณา วันนี้บริษัทมีป้ายโฆษณากลางแจ้ง (Billboard) ประมาณ 80 ป้าย และป้ายไฟ LED ประมาณ 2 ป้าย ซึ่งตั้งอยู่บนถนนอโศก และถนนเพชรบุรี แม้ปัจจุบันป้ายโฆษณาของบริษัทจะมีการใช้บริการเพียง 50-60% แต่ถือเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับปลายปี 2557 ที่มีการใช้บริการเพียง 20%

สาเหตุที่ป้ายโฆษณาของบริษัทมีลูกค้าใช้บริการมากขึ้นเป็นเพราะเรามีทีมงานที่มีความชำนาญเรื่องนี้เป็นอย่างดี แม้จะมีคนทำงานหลักเพียง 2 คน แต่ถือเป็นสองคนที่เก่งมาก เมื่อเทียบกับอดีตที่มีคนทำงานจำนวนมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งพนักงานสองคนนั้นเป็นลูกน้องเก่าสมัยที่ผมยังเปิดบริษัทป้ายโฆษณา ที่สำคัญด้วยความที่เคยทำงานในอาชีพนี้มาก่อน ทำให้มีคอนเน็ตชั่นอยู่ในมือค่อนข้างมาก ฉะนั้นการเข้าฟื้นธุรกิจป้ายโฆษณาย่อมไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป

ปัจจุบันเรากำลังเจรจากับผู้ประกอบการป้ายโฆษณาหลายราย เบื้องต้นบริษัทอยากมีป้ายโฆษณาเพิ่มเป็น “หลักร้อยป้าย” คาดว่าจะได้ข้อสรุปการทำ M&A (ซื้อกิจการ) ภายในปี 2559 ส่วนจะมีสัดส่วนป้ายไฟ LED และป้ายธรรมดาเท่าไรยังไม่สามารถแจกแจงรายละเอียดได้ เพราะอยู่ในช่วงของการศึกษาและเจรจา ส่วนตัวมองว่า ป้ายไฟ LED ทำเลดีๆตกไปอยู่ในมือของรายใหญ่หมดแล้ว ที่สำคัญการลงทุนสูงมาก ฉะนั้นเราคงไม่เน้นลงทุน

'เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ ทำให้ลูกค้าลงโฆษณากับเราลดลง 10% สิ่งเดียวที่เราทำได้ คือ ออกโปรโมชั่น แลก แถม' 

๐ปรับรูปแบบรายการเรียกงบโฆษณา

เขา เล่าต่อว่า สำหรับธุรกิจให้บริการช่องสัญญาณคลื่นความถี่ ปัจจุบันบริษัทปล่อยเช่าสัญญาดาวเทียมไทยคม 5 ความถี่ 3480 จำนวน 1Transponder จำนวน 20 ช่อง ส่วนธุรกิจผลิตรายโทรทัศน์ 3 ช่อง ปัจจุบันดำเนินการอยู่ 3 ช่อง คือ ช่อง POP TV ช่อง Thaichaiyo TV และช่อง VLive (ช่องรายการตลกรุ่นเก่า) ล่าสุดเรตติ้งช่อง POP TV ไม่ค่อยดี และโฆษณาไม่เข้า เนื่องจากไม่มีคอนเทนต์เป็นของตัวเอง ส่วนช่อง Thaichaiyo TV จำนวนคนดูถือว่าน่าพอใจ

บริษัทตั้งใจจะปรับรูปแบบรายการช่อง POP TV ด้วยการผสมรายการเพลงและรายการเพื่อสังคม (CSR) เข้าด้วยกัน วิธีการ คือ บริษัทจะไปของบ CSR ตามบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ แนวคิดนี้ได้มาจากคุณพ่อ (หัวเราะ) เพราะท่านชอบทำงานเพื่อสังคม

ทั้งนี้รูปแบบดังกล่าวน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากบริษัทขนาดใหญ่ ล่าสุดกำลังทำรายการตัวอย่างไปนำเสนอ ส่วนอีกสองช่องอยู่ระหว่างพิจารณา หากมีพันธมิตรสนใจจะมาทำงานด้วยเราก็ยินดี

ส่วนธุรกิจธุรกิจอีเว้นท์ และธุรกิจเอเจนซี่ เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปซื้อหุ้น บริษัท สปิน เวิร์ค จำกัด (SPW) ผู้ประกอบกิจการประเภทกิจกรรมของบริษัทโฆษณา จำนวน 51,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 51% ของทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว ซึ่งบริษัทดังกล่าวจะเริ่มสร้างรายได้เต็มปีในปี 2559

ทั้งนี้รายได้หลักของธุรกิจเอเจนซี่ เบื้องต้นจะมาจากค่ายรถยนต์โตโยต้า และบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น ซึ่งเราจะนำสินค้าของลูกค้าไปทำโฆษณาในรูปแบบต่างๆ ตามช่องทางที่เรามี

'ปีก่อนบริษัทมีรายได้จากธุรกิจสื่อเพียง 25% แต่เมื่อเรามี “สปิน เวิร์ค” และขายพื้นที่โฆษณาได้มากขึ้น สัดส่วนรายได้จะมีหน้าตาเปลี่ยนไป โดยปีหน้าจะทะยานแตะ 60%' 

ธุรกิจอสังหาฯ 'พระเอก' ในอนาคต

'บุรุษวัย 38 ปี' เล่าต่อว่า สำหรับแผนงานของ 'ธุรกิจคอนสตรัคชั่น' ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง,ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจพลังงาน เราอยู่ระหว่างศึกษาควบคู่เดินหน้าทำงาน

ในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งดำเนินการภายใต้ บริษัท ไลฟ์ เอสเตท จำกัด ซึ่ง LIVE ถือหุ้น 99.99% ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท ตามแผนงานบริษัทอยากเดินหน้าซื้อกิจการควบคู่ลงทุนก่อสร้างเอง โดยจะเน้นอสังหาริมทรัพย์ประเภทเช่า

โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 3-4 ดาว ประมาณ 100 กว่าห้อง ที่อยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างจังหวัด ล่าสุดกำลังเจรจากับเจ้าของโรงแรมทางภาคใต้ สาเหตุที่สนใจเพราะค่าเช่าต่อคืนสูงกว่าโรงแรมในกรุงเทพ และมีอัตราเข้าพักสูงถึง 60% ปัจจุบันมีคนมาเสนอขายโรงแรมกับบริษัทจำนวนมาก
นอกจากนั้นเรายังสนใจเข้าไปซื้อกิจการโรงแรมในแถบยุโรป เนื่องจากนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสินทรัพย์ประเภทโรงแรมในยุโรปปรับตัวลดลงแล้วประมาณ 40% โดยเฉพาะประเทศอิตาลี ฝรั่งเศล และอังกฤษ เป็นต้น ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ประมาณ 2-3แห่ง

ส่วนตัวมีความเชื่อว่า ในอนาคตธุรกิจนี้จะกลายเป็น 'พระเอก' ที่สร้างรายได้มากถึง 40% เพราะเราวางแผนตะลงทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วยตนเองประมาณ 3 โครงการ อย่างไรก็ดีปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเปล่า 32 ไร่ แถวลำลูกกา ทุกวันนี้เป็นบ่อบัว เราตั้งใจจะขายออก

'ผมจะไม่ทำอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้เข้าเพียงครั้งเดียว เพราะต้องเหนื่อยไปหางานใหม่ แต่อยากลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้เข้าทุกเดือน และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15% ฉะนั้นหากเทคกิจการโรงแรมได้ปี 2559 เราจะมีรายได้เข้ามาทันที' 

สำหรับ 'ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง' ซึ่งดำเนินการภายใต้ บมจ.สเตรกา ผู้ประกอบธุรกิจขุดเจาะในแนวราบ ในฐานะบริษัทย่อยที่ LIVE ถือหุ้นอยู่ 52.63% ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 190 ล้านบาท โดยปี 2557 ทำกำไรสุทธิได้ 70 ล้านบาท ซึ่งปีนี้คงมากกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้เราตั้งใจจะผลักดันบริษัทแห่งนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้น สเตรกา จากเดิมที่ LIVE ถือหุ้นเพียง 40% เปลี่ยนมาถือหุ้น 52% ทำให้ต้องถอดไฟลิ่งออกเมื่อสองเดือนก่อน เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เราจะยื่นไฟลิ่งใหม่อีกรอบ

สุดท้ายจะนำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทัรพย์แห่งประเทศไทย SET หรือ ตลาดหลักทัรพย์ เอ็มอีไอ หรือ mai คงต้องเชิญที่ปรึกษาทางการเงินมาช่วยจัดการอีกครั้ง ใจจริงเราอยากมีงานในมือระดับหนึ่งก่อนเข้าตลาดหุ้น แม้วันนี้บริษัทแห่งนี้จะสามารถสร้างกำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 40% หลังทีมใหม่เข้ามาลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆก็ตาม

'หากมีพันธมิตรที่เก่งเรื่องทำงานบนดินมาช่วยสเตรกาทำงานก็คงจะดี' 'หนุ่มโอ๊ต' พูดเปรยๆ

ที่ผ่านมา 'สเตรกา' เคยทำงานใหญ่ 2 โครงการ ซึ่งเป็นงานของบมจ.ปทต.มูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท เราได้บันทึกรายได้ไปเรียบร้อยแล้ว ล่าสุดบริษัทได้เสนอราคางานก่อสร้างเจาะลอดใต้สะพานพระนั่งเกล้าของกฟน.มูลค่าประมาณ 200-300 ล้านบาท คาดว่าเดือนต.ค.นี้ จะรู้ผลการประมูล หากชนะจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 4/58

ส่วนตัวเชื่อว่า ภายในปลายปีนี้ อาจได้งานใหญ่จากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ชนะการประมูลงานขุดท่อน้ำมันของกฟผ.และท่อก๊าซของปตท.มูลค่าประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราอาจได้งานมาทำมูลค่าหลายพันล้านบาท ทั้งนี้อนาคตเราอยากเป็นคนเข้าประมูลโดยตรง เพราะอัตรากำไรสุทธิจะดีกว่าไปรับงานมาทำต่อ

เขา พูดต่อว่า สำหรับธุรกิจพลังงาน ซึ่งดำเนินการภายใต้ บริษัท ธอร์ เอนเนอร์ยี แอนด์ รีซอร์สเซส จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจพลังงาน พลังงานทดแทน และเหมืองแร่ ที่มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ซึ่ง LIVE ถือหุ้นอยู่ 99.99%

ปัจจุบันอยู่ระหว่างจับมือกับพันธมิตรต่างชาติ เพื่อเข้าไปทำโรงไฟฟ้าขยะ กำลังการผลิตประมาณ 5-10 เมกะวัตต์ กิจการนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15% คาดว่า ภายในปีนี้คงเห็นความชัดเจน โดยปกติโรงไฟฟ้าขยะจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 14 เดือน ที่ผ่านมาเราดีลเรื่องขยะไว้กับเทศบาลแล้ว
แม้เราจะมีแผนลงทุนหลากหลายโครงการ แต่นักลงทุนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินทุน ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดมากถึง 500 ล้านบาท แต่ถ้ารวมเงินสดจากบริษัทลูกจะมีมากถึง 1 พันล้านบาท

ที่สำคัญบริษัทยังมีอัตราหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ต่ำเพียง 0.5 เท่า ฉะนั้นยังมีช่องว่างในการกู้อีกมาก ที่สำคัญเร็วๆนี้ เรายังไม่มีนโยบายจะขายหุ้นเพิ่มทุน หลังบริษัทได้ขายหุ้นเพิ่มทุน 1,020,339,305 หุ้น ราคา 0.35 บาท ให้กับนักลงทุน 3 ราย ซึ่งหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวทีมงานเก่าได้ดำเนินการไว้

'ผู้บริหารหนุ่ม' ทิ้งท้ายว่า รายได้ในปี 2558 อาจยืนระดับ 800-900 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ทำได้เพียง 291 ล้านบาท ส่วนในแง่ของกำไรสุทธิ เชื่อว่า ปีนี้น่าจะเป็นบวก เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุน 77.43 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจสื่อ 60% ธุรกิจคอนสตรัคชั่น 40% อย่างไรก็ดีหากเราซื้อกิจการโรงแรมมาได้ตามแผน อาจเห็นสัดส่วนรายได้อสังหาริมทัรพย์ปี 2559 ประมาณ 10%

ที่ผ่านมาไม่อยากโปรโมทธุรกิจมากมาย เพราะกลัวคนจะมองว่า LIVE เป็นหุ้นปั่น ไม่อยากให้รู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว ขอให้นักลงทุนรอดูฐานะในปี 2559 ผมตั้งใจเข้ามาทำงานจริงๆ แต่หากมีคนมาเสนอขอซื้อหุ้นในราคาที่น่าเกลียดก็ไม่แน่ (เขาพูดติดตลก)

ถามว่า ถ้ารู้ว่าเข้ามาแล้วต้องมานั่งแก้ปัญหาที่คนเก่าทำทิ้งไว้มากมายเช่นนี้ ยังจะมาหรือไม่ ตอบตรงนี้เลย ไม่มา ที่ผ่านมาผมต้องมานั่งแก้ปัญหาทุกจุด เหนื่อยมาก ผู้ถือหุ้นคนใหม่ของ Triton ชื่อใหม่ของ 'ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น' บอกอย่างนั้น