'การลงทุน' เท่ากับ 'ชีวิต' 'นพ.ธำรงโรจน์ เต็มอุดม'

ส่องเบื้องหลังความสำเร็จ เจ้าของพอร์ตหุ้น 8 หลัก 'หมอธำรงโรจน์ เต็มอุดม' หนึ่งในน้องรัก 'เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์'
'นายแพทย์ ธำรงโรจน์ เต็มอุดม' หรือ หมอโรจน์ ชื่อนี้เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่นักลงทุน เมื่อ 3 เดือนก่อน หลังเขา คือ 1 ใน 5 ที่ถูก 'เสี่ยยักษ์-วิชัย-วชิรพงศ์' เซียนหุ้นไซด์ใหญ่มาก เชิญขึ้นโชว์ตัวในงาน 'ใหญ่ กว่า เสี่ยยักษ์' ซึ่งเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบอายุ 60 ปี ของ 'เสี่ยยักษ์'
'แม้จะเป็นหมอ แต่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนสูง เขาไม่อวดเก่ง แม้จะเรียนมาสูง ตรงข้ามกลับพร้อมที่จะรับฟังคำสอนเรื่องการลงทุนจากนักลงทุนธรรมดาอย่างผม' 'เสี่ยยักษ์' เคยกล่าวชื่นชม 'หมอโรจน์' กับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week'
หัวหน้าศัลยศาสตร์หลอดเลือด กองศัลยกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า คือ ตำแหน่งงานหลักในปัจจุบันของ 'นายแพทย์ธำรงโรจน์' ยังไม่นับรวมงานศัลยแพทยที่ปรึกษาตามโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ เช่น โรงพยาบาลพญาไท 2 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น
ก่อนจะกลายเป็นอาจารย์แพทย์ ในอดีตเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่ม จากจังหวัดนครพนมที่มีความฝันอยากไปเรียนหนังสือที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังได้รับแรงบันดานใจจากวิทยาการที่ล้ำเลิศในการสร้าง 'ยานอะพอลโล 11' ครั้งหนึ่งเขาเคยเล่า ความฝันนี้หน้าชั้นเรียน แม้จะถูกเพื่อนจะหัวเราะเยาะ แต่ก็ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ เพราะมีความเชื่อที่ว่า
'โอกาสเปิดกว้างสำหรับคนที่ค้นหา'
เมื่อผนวก 'ความฝัน' เข้ากับ 'ความลำบาก' ที่ต้องเผชิญหน้าตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้เขาจำฝังใจว่า 'การศึกษาสำคัญที่สุด' หลังผู้เป็นพ่อและแม่ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อหาเงินเลี้ยงดูลูกทั้ง 4 คน รวมถึงญาติพี่น้องที่มีอยู่กว่าสิบชีวิต ฐานะเข้าขั้นยากจนในอดีต ทำให้ครอบครัวเกือบต้องเผชิญหน้ากับการล้มละลาย เมื่อพ่อและแม่จำเป็นต้องเล่นแชร์หลายวง เพราะอยากหาเงินส่งลูกเรียนสูงๆ
แรกเริ่ม 'หมอโรจน์' ตั้งใจจะศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบ จนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หลังย้ายมาจากโรงเรียนในจังหวัดนครพนมที่เขาสามารถทำคะแนนสอบได้อันดับหนึ่งของจังหวัด แต่เนื่องจากติดเพื่อนและดนตรี ทำให้แม่ส่งไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และช่วงชีวิตนั้น ทำให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางหมอแทนแวดวงดนตรี เพราะอยากช่วยเหลือเพื่อนมุนษย์
ด้วยความที่ต้องการลดภาระทางการเงินให้ครอบครัว เขาตั้งใจเรียนอย่างหนัก สุดท้ายสามารถสอบชิงทุนปริญญาตรี วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้สำเร็จ และด้วยความที่ต้องการสานฝันไปเรียนต่อเมืองนอกให้สำเร็จ 'หมอโรจน์' มุมานะในการเรียนมากขึ้น เพราะต้องการได้ทุนเรียนดีของวิทยาลัยแพทยศาสตร์ฯที่มีอยู่เพียง 1 ที่เท่านั้น
แต่เรียนมาได้ 3 เดือน ผลปรากฎว่า มีคนเรียนเก่งมากกว่าเขา 10 คน ทำให้ต้องลุกขึ้นมาหาสไตล์การเรียนที่เหมาะกับตัวเองใหม่ วิธีการแกะเทปการเรียนการสอนออกมาเป็นตัวหนังสือ และทบทวนการเรียนทุกวัน คือ หนทางที่ทำให้ “หมอโรจน์” มีผลคะแนนชนะ 9 คน เป็นครั้งแรก ชัยชนะในครานั้นทำให้เขารู้ว่า
'หากรู้วิธีชนะครั้งแรก ครั้งต่อไปย่อมไม่ใช่เรื่องยาก'
หลังคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เขาสมัครเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง ด้านศัลยกรรมทั่วไปอีก 3 ปี จากนั้นก็ควงภรรยาอดีตพนักงานแบงก์ทหารไทย หรือ TMB ไปเรียนต่อเกี่ยวกับการผ่าตัดที่ 'เมโยคลีนิค' ประเทศสหรัฐเมริกา อีก 5 ปี ซึ่งเป็นทุนที่สอบได้ตอนเรียนปริญญาตรี
ในช่วงที่เรียนอยู่เมืองนอก เขาสามารถทำคะแนนสอบได้เป็นอันดับ 1 ทุกปี เมื่อจบการศึกษาก็สามารถสอบชิงทุน เพื่อเรียนศัลยกรรมหลอดเลือดต่อทันทีอีก 1 ปี ณ นครนิวยอร์ก เขายึดคติเช่นเดียวกับ 'เบนจามิน แฟรงคลิน' รัฐบุรุษคนสำคัญของสหรัฐอเมริกา ที่เคยพูดว่า
'การลงทุนที่ดีที่สุด คือ การลงทุนในเรื่องของความรู้'
'นายแพทย์วัย 51 ปี' เล่าว่า บินกลับมาเป็นอาจารย์แพทย์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตอนอายุ 34 ปี เพิ่งผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งมาแค่ปีเดียว ปัจจุบันทำงานในสถาบันแห่งนี้มา 16 ปีแล้ว และจะทำงานต่อไปจนเกษียณอายุ ช่วงกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ แม้จะมีเงินเดือนประจำ 2 หมื่นบาท แต่ไม่มีเงินเก็บ มีเพียงรถญี่ปุ่นคันเล็กๆ แถมบ้านยังต้องเช่า แถวประชานิเวศน์ และยังต้องผ่อนแอร์อีก 6 เดือน ไปขอทำบัตรเครดิตแบงก์ TMB เขายังไม่ยอมทำให้เลย (หัวเราะ) พูดง่ายว่า 'กว่าจะมีวันนี้ชีวิตเริ่มต้นมาจากศูนย์'
เมื่อก่อนรายรับไม่พอรับจ่าย เพราะลูก 3 คนยังเล็กมาก แต่ด้วยความขยัน ใครตามไปตรวจ ไม่มีเกี่ยง ไม่ห่วงนอน เวลาไหนก็ไป สมัยนั้นจะได้ค่าเข้าเวรครั้งละ 400 บาท ทำให้ใช้เวลาเพียง 4 ปี ในการเก็บเงินล้านแรกในชีวิต
'ชนะการลงทุน 2 เท่า' จาก 'ทองคำ'
'นักลงทุนรายใหญ่' เล่าว่า เริ่มรู้จักออมเงินครั้งแรกในปี 2545 ด้วยการแบ่งเงินลงทุนออกมา 50-60% เพื่อนำมาลงทุนผ่านกองทุนเปิดทหารไทยธนบดี ,พันธบัตรรัฐบาล และฝากสหกรณ์ กินดอกเบี้ยเฉลี่ย 3-6% ซึ่งวิธีการลงทุนลักษณะนี้ ผลกำไรงอกเงยช้า แต่เงินไม่ได้หายไปไหน เข้าคอนเซ็ปต์ที่ว่า 'เงินต้นไม่หายแถมได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3%'
เมื่ออ่านตำราทั้งภาษาอังกฤษและไทยมากขึ้น ก็เริ่มขยายการลงทุนไปในรูปของ 'ทองคำ' โดยทุกเดือนจะแบ่งเงินเดือนออกมาซื้อทองแท่ง 5 บาท ช่วงนั้นราคาทองเฉลี่ย 8-9 พันบาทต่อทองคำ ทำแบบนี้เกือบ 2 ปี ผ่านมา 3-4 ปี ราคาทองคำทะยานขึ้นแตะ 2 หมื่นบาทต่อทองคำ จึงขายทำกำไรออกไปบางส่วน ปัจจุบันเหลือทองคำแท่งอยู่ในมือประมาณ 60 บาท จากเดิมที่เคยมีเกือบ 200 บาท ต้นทุนเฉลี่ยหมื่นกว่าบาท ล่าสุดได้ปรับเปลี่ยนวิธีลงทุนทองคำใหม่ โดยจะหันมาซื้อในรูปของกองทุนรวมทองคำแทน หลังราคาทองคำดิ่งหัวลง
'การลงทุนทองคำในครั้งนั้น ทำให้ชีวิตเดินทางมาพบกับคำว่า 'ชนะการลงทุน 2 เท่าเป็นครั้งแรก' ซึ่งทฤษฎีลงทุนครั้งละน้อย แต่ได้กำไรสม่ำเสมอ ยังสามารถนำมา ปรับใช้ในตลาดหุ้นได้ด้วย'
เทคนิคซื้อเฉลี่ย วิธีรวยหุ้น
'เจ้าของพอร์ตหุ้นหลักสิบล้าน' เล่าต่อว่า เมื่อมีความรู้มากขึ้นบวกกับเริ่มลงทุนถูกวิธี จนรับรู้ได้ว่า ความเสี่ยงไม่ได้มากเหมือนที่ทุกคนกลัว ทำให้ในปี 2550 เริ่มขยับการลงทุนเข้าไปในตลาดหุ้น ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวมควบคู่กับซื้อหุ้นรายตัว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้กลัวการลงทุนในตลาดหุ้นมาก เพราะเห็นคนหมดตัวมาเยอะ
แม้กระทั่งคนใกล้ตัวอย่างคุณอาที่มีหนี้สินติดตัวมาจากการเล่นหุ้นในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 แต่ตอนเรียนต่างประเทศมีอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่า 'คุณต้องมีความรู้เกี่ยวกับการบริหารเงิน' แน่นอนมันไม่มีสอนในโรงเรียน ฉะนั้นจึงเริ่มออกตามหาความรู้ ด้วยการอ่านหนังสือ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนจะเน้น 'เทคนิคการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน' หรือ Dollar Cost Average (DCA) ช่วงนั้นยังไม่รู้จัก 'เสี่ยยักษ์' หรือนักลงทุนคนอื่นๆ แต่จะอาศัย คิดเอง ซื้อเอง เพราะไม่อยากเปิดเผยตัว เมื่อก่อนทัศนคติของคนยังมองเรื่องหุ้นเหมือนการพนัน
'สูตรสำเร็จของการลงทุน' ในช่วงแรก คือ เลือกหุ้นที่เป็นเบอร์ 1 ใน SET 50 ออกมา 6 ตัว เน้นคุณสมบัติ 'รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม' เช่น หุ้น ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC หุ้น ปตท.หรือ PTT หุ้น ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL หุ้น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC และหุ้น น้ำมันพืชไทย หรือ TVO จากนั้นจะซื้อลงทุนหุ้นเหล่านั้นซ้ำๆทุกเดือนเฉลี่ยตัวละ 5 พันบาท
ในช่วงปีแรกของการลงทุนมีโอกาสซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.ธนาคารทหารไทย หรือ TMB ราคาเฉลี่ย 3 บาท ก่อนจะขายออกในราคาเฉลี่ย 4.50 บาท ได้กำไรกลับมาเฉลี่ย 40-50%
'ลงทุนในลักษณะนี้จะทำให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี โดยจะมาในรูปของเงินปันผลเฉลี่ย 3-4% เมื่อเราเลือกลงทุนในกิจการที่ไม่มีทางล่มสลายจะทำให้รู้สึกอุ่นใจ และไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ'
เมื่อการลงทุนดำเนินมาถึงปี 2552 ประเทศสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ ทำให้หุ้นในพอร์ตที่มีอยู่ 10 ตัว รวมถึงกองทุนหุ้น ซึ่งแต่ละตัวมีกำไรเฉลี่ย 10-15% 'พลิกเป็นขาดทุน' ทันที เฉลี่ย 20% เมื่อ 7 ปีก่อน ผมยังเป็นนักลงทุนที่ไม่มีประสบการณ์บวกกับตกใจมากจึงรีบขายขาดทุน เราไม่รู้ว่า ปัญหาจะยืดเยื้อนานแค่ไหน ทำให้ตัดสินใจถอนเงินออกมาตั้งหลัก
'ผ่านมาไม่กี่เดือนหุ้นที่ขายขาดทุน พากันดีดกลับมาที่เดิม ทำให้เราเรียนรู้ว่า การขายในเวลาตื่นตระหนกจะทำให้เราเสียหายอย่างหนัก'
บทเรียนครั้งนั้น ทำให้ต้องกลับมาเริ่มต้นซื้อหุ้นรายเดือนใหม่อีกครั้ง วิธีการ คือ 'ซื้อกลับเมื่อตลาดเริ่มฟื้น' โดยจะเลือกเพียงแต่หุ้นพื้นฐานดี เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน เป็นต้น
สำหรับ 'หุ้นพลิกพอร์ต' ที่ทำให้มีกำไรกลับมา 'หลักล้าน' เท่าที่จำได้มีประมาณ 3 ตัว คือ หุ้น ADVANC ต้นทุนกว่า 90 บาท ขายออก 200 กว่าบาท ใช้เวลาสะสมช่วงหุ้นกำลังซึมๆนานอยู่ 3 ปี ปัจจุบันเหลือเศษหุ้นติดพอร์ตเป็นอนุสรณ์ 80 กว่าหุ้น (หัวเราะ) ,หุ้น SCC ต้นทุน 150 บาท ขายออก 300 บาท ซึ่งหุ้นสองตัวนี้เข้าสูตรลงทุนเป๊ะ เพราะเขาเป็นเบอร์หนึ่งของอุตสาหกรรมที่มีความมั่นคง และปันผลงาม
นอกจากนั้นยังมีหุ้น ทางด่วนกรุงเทพ หรือ BECL ต้นทุน 20 กว่าบาท ปล่อยออก 32-35 บาท ใช้เวลาทยอยเก็บสั้นเพียง 1 ปี เหตุผลที่เลือกลงทุนหุ้นตัวนี้ ตรรกะง่ายๆ คือ บริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณูปโภค ไม่ว่าอย่างไรต้องจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นแน่นอน ประกอบกับช่วงนั้นฟลุ๊คหุ้นดีดขึ้นพอดี
เขา เล่าต่อว่า ช่วงนั้นรวบรวมสติเพื่อค้นหากองทุนที่ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด จากเหตุการณ์วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เรียกว่า ทำตามหนังสือที่แนะนำว่า 'ตัวจริงจะอยู่ได้ในตลาดขาลง' ซึ่ง กองทุนกรุงศรี คือ ผู้ที่อยู่รอดในวิกฤติ
ผมตัดสินใจโทรไปนัดผู้จัดการกองทุน เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน สมัยนั้นผมสามารถรับความเสี่ยงได้สูงมาก เห็นได้จากการยอมตัดขาดทุนในช่วงวิกฤติ (ยิ้ม) ตอนนั้นผู้จัดการจัดพอร์ตเน้นหนักไปทางหุ้น 60-70% ที่เหลือเป็นตราสารหนี้ 20% และเงินสด 10%
ผลปรากฎว่า ปีนั้นกองทุนกรุงศรี สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 150% แถมยังเป็นแชมป์สร้างผลตอบแทนสูงสุดต่อเนื่องมา 5 ปี นั่นหมายความว่า กองทุนที่บาดเจ็บน้อยในช่วงขาลงเวลากลับคืนจะดีมาก
'อย่าหวังเอาแต่กำไร แต่จงคิดหาวิธีป้องกันตัว เพื่อให้บาดเจ็บน้อยที่สุด' 'คุณหมอนักลงทุน' บอกถึงวิธีการลงทุนในปัจจุบัน นับตั้งแต่ปีแรกของการลงทุนจนถึงวันนี้ ผมทยอยใส่เงินลงทุนเพิ่มตลอด ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ,กองทุนรวม, ทองคำ หุ้นรายตัว และประกัน
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เลือกลงทุนในหุ้นรายตัวมากถึง 50% รองลงมาเป็น กองทุนรวม 30% พันธบัตร 15% ทองคำ 5% ที่เหลือเป็นประกันชีวิต แต่ปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจเมืองไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทำให้ต้องปรับพอร์ตลงทุนใหม่
ด้วยการถือเงินสดมากขึ้นเป็น 25% และลดพอร์ตหุ้นเหลือเพียง 25% รวมถึงปรับพอร์ตกองทุนรวมเป็นกองทุนพันธบัตร และกองทุนต่างประเทศ ส่วนทองคำยังเหมือนเดิม ในส่วนของการเลือกหุ้น จากนี้จะพยายามเลือกหุ้นที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตมาอยู่ในพอร์ต เช่น ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจการแพทย์ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจประกันชีวิต และธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยจะลงทุนทั้งแบบรายตัวและลงทุนผ่านกองทุน
สาเหตุที่สนใจธุรกิจสาธารณูปโภคเป็นเพราะในอนาคตเมืองไทยต้องตื่นตัวเรื่องนี้เหมือนเมืองนอก ส่วนธุรกิจการแพทย์ เนื่องจากอีก 10 ปีข้างหน้า เมืองไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged society) ฉะนั้นกิจการนี้น่าจะดีในอนาคต สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเรื่องดีของเมืองไทยต่อให้จีดีพีแย่แค่ไหน แต่ก็มีเรื่องนี้คอยค้ำไว้ เพียงแต่อาจต้องใช้เวลาฟื้นตัว เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ปัจจุบันมีหุ้นอยู่ในมือเพียง 2-3 ตัว ลดลงจากอดีตที่เคยมีมากถึง 10-12 ตัว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ และได้ประโยนชน์จากค่าเงินบาทอ่อน รวมถึงยังเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เพิ่งลงทุนในปีนี้ บางตัวยังขาดทุนอยู่เล็กน้อย แต่เชื่อว่าจะดีดกลับมา ในอดีตเคยลงทุนกลุ่มค้าปลีก แต่ตอนนี้ราคาอิ่มตัวแล้ว
'เมื่อหาหุ้นที่เข้าสูตรได้แล้วจะใช้กราฟรายเดือนช่วยหาจังหวะเข้าซื้อ เพื่อให้ได้ระดับราคายอดหญ้า จากนั้นจะคอยติดตามผลงานของบริษัทว่า มีพัฒนาการที่ดีสม่ำเสมอหรือไม่ เช่น อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น หรือ ROE หากอยู่ในระดับ 15% จะดีมาก'
'เสี่ยยักษ์' คนนี้แหละ 'ครูหุ้น'
'หมอธำรงโรจน์ เต็มอุดม' เล่าความประทับใจที่มีต่อ 'เสี่ยยักษ์-วิชัย-วชิรพงศ์' ว่า เมื่อ 2 ปีก่อน มีโอกาสอ่านตำราเรื่อง 'กูรูหุ้นพันล้าน' ของ 'เสี่ยยักษ์' เมื่อลองเปิดอ่านเราจะเจอแต่คำพูดง่ายๆ ที่กินใจมาก แถมยิ่งอ่านยิ่งสนุก ทำให้ใช้เวลาอ่าน 90 กว่าหน้า เพียง 2 ชั่วโมงแบบไม่หยุด ยกตัวอย่าง คำพูดจี้ใจ
'ถ้าอยากชนะ อย่าคิดคนเดียว อย่าเล่นคนเดียว' ซึ่งพฤติกรรมเช่นนั้น คือ ตัวเราในอดีต
ผ่านไป 4 สัปดาห์ คุณหมอที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พาผมไปรู้จัก 'เสี่ยยักษ์' ถึงบ้านพักตากอากาศจังหวัดระยอง ซึ่งคุณหมอท่านนี้เคยตรวจสุขภาพให้'เสี่ยยักษ์' และยังเป็นนักลงทุนด้วย ครั้งแรกที่เจอ 'เสี่ยพันล้าน' มีโอกาสเล่าความผิดพลาดในการลงทุนให้ฟัง แต่แกกลับพูดว่า 'ผิดถูกไม่สำคัญคุณหมอ แต่ขอให้มีเหตุผลว่า ทำไปทำไม' ตอนนั้นประทับใจในท่าทีของแกมากที่มีความเป็นกันเอง และมีความเมตตาที่จะสอนเรื่องหุ้นกับคนตัวเล็กๆ อย่างผม ก่อนจะเจอกันผมคิดว่า แกจะเป็นคนดุตัวผมเองมีบุคลิกเปิดกว้างรับทั้ง ความรู้ ความคิดเห็น ผมจะไม่ได้ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ทุกครั้งที่ได้ยินคนเก่งพูดเรื่องอะไร ก็มักจะกลับมาหาความรู้ต่อทันที ตอนนั้นแกวิเคราะห์ตัวตนของผมว่า
'คุณหมอมีทางจะชนะ เพราะมีความรู้ และจิตใจที่นิ่ง แต่ยังขาดประสบการณ์ ฉะนั้นต้องเติม'
จากนั้นไม่นานแกก็เมตตาหาชื่อหนังสือดีๆ มาให้ผมอ่านหาความรู้ เช่น ตำราของ 'วอร์เร็น บัฟเฟตต์' และ 'จอร์จ โซรอส' รวมถึงหนังสือเกี่ยวกับเทคนิคกราฟ เป็นต้น ผมใช้เวลาอ่านหนังสือเกือบ 10 เล่มประมาณ 3 เดือน
ก่อนหน้านี้ไม่รู้จักการเล่นหุ้นเทคนิค แต่ 'เสี่ยยักษ์' สอนว่า 'จะรู้เพียงพื้นฐานหุ้นอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องรู้เรื่องเทคนิคด้วย' แกแนะนำให้ไปหาความรู้เกี่ยวกับเส้นกราฟ ในความเห็นของผม ต่อให้เอาคนที่เก่งที่สุดมาสอน แต่ถ้าไม่ฝึกฝน ก็ไม่มีทางชนะ ฉะนั้นหลังเลิกงานมักจะใช้เวลาฝึกฝีมือทุกวัน
'ถ้าคุณจะเดินบนถนนสายนี้ คุณต้องขยันและมุ่งมั่น ที่สำคัญต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เพราะตลาดหุ้นเหมือนสงคราม ถ้าหวังจะมาเอากำไร 3% หรือ 5% จากตลาดหุ้น แตเมื่อตลาดหุ้นเอาคืนจะเหมือนคลื่นยักษ์สึนามิกวาดคุณหมดตัวได้' อีกหนึ่งคำสอนที่ประทับใจของ 'เสี่ยยักษ์'
เขา เล่าว่า คอนเซ็ปต์ 'ลงทุนหุ้นตัวเดียวด้วยเงินเยอะๆ' และ 'หุ้นเทิรน์อะราวด์' เป็นไอเดียของ 'เสี่ยยักษ์' ที่ผมนำมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน ที่ผ่านมาไม่เคยหวังจะปั้นพอร์ตลงทุนให้เติบโตมากๆ ขอแค่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-12% ต่อปี ก็พอใจแล้ว เพราะผมตั้งใจจะส่งพอร์ตหุ้นไปถึงรุ่นลูก
'ตัวจริงเรื่องการลงทุน นอกจาก 'เสี่ยยักษ์' ก็คงต้องยกให้ภรรยาคู่ใจ ช่วงครบรอบแต่งงาน 25 ปี ผมถามภรรยาว่า คิดอย่างไรมาแต่งงานกับผมที่ตอนนั้นมีเพียงรถญี่ปุ่นคันเก่าๆเธอตอบผมว่า ถ้าเปรียบเป็นการลงทุน เธอ คือ หุ้นเทิร์นอะราวด์ เธอมีสตอรี่ดีๆ รออยู่ในอนาคต แม้ช่วงที่ลงทุนจะยังมองไม่เห็นกำไร แต่ฉันเห็นโอกาสชนะ 70%'
'หมอโรจน์' บอกว่า 'เสี่ยยักษ์' อาจคิดว่า หมอศัลยศาสตร์หลอดเลือดคนนี้ น่าจะพอขายได้ (หัวเราะ) เพราะผมมักนำประสบการณ์การใช้ชีวิตในแง่มุมต่างๆมาประยุกต์ใช้ในการลงทุน และได้นำปรัชญาของการลงทุนมาประยุกต์ใช้ในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น นำความรู้ และกำไรคืนสู่สังคม
'ทุกครั้งที่เจอ เสี่ยยักษ์ ตามงานมิตติ้ง แกจะคอยถามไถ่เรื่องการลงทุนตลอด เพราะผมยังมือใหม่เรื่องการลงทุน และยังอ่อนด้อยประสบการณ์ แม้จะศึกษาตำรามามาก แต่ยังมีกลเม็ดเกี่ยวกับการลงทุนอีกมากมายที่ยังเข้าไม่ถึง'
ที่ผ่านมาผมจะนำกำไรที่ได้จากการลงทุนมาซื้อ 'กองทุนรวมปันผล' ให้ลูกทั้ง 3 คน ผมมักสอนเขาเรื่องการบริหารเงินเสมอ ถือเป็นการส่งต่อความรู้ที่พ่อและแม่เคยสอนผม เพราะท่าน คือ ครูด้านการเงิน
สมัยก่อนพ่อเคยให้เอาล็อตเตอร์รี่ไปขาย เมื่อได้เงินมาหลายร้อยบาท พ่อจะพาไปฝากแบงก์ออมสินและซื้อสลากออมสิน เรียกว่า ถูกฝึกฝนให้รู้จักออมมาตั้งแต่เด็ก จำความได้พ่อเคยพูดว่า ห้ามเข้าโรงรับจำนำ ถ้าไม่เชื่อจะตัดพ่อตัดลูก ถือเป็นกลอุบายบริหารเงินอย่างหนึ่ง
'คุณหมอนักลงทุน' ทิ้งท้ายว่า นักลงทุนหลายคนเข้ามาในตลาดหุ้นเพียงเพราะหวังรวยเร็ว แต่จริงๆ แล้ว ก่อนจะคิดเรื่องนั้น เราควรมีทั้งความรู้ ประสบการณ์ และจุดยืนที่ชัดเจน รวมถึงต้องรู้จักแบ่งเงินออมมาทำประโยชน์ด้วย
ที่สำคัญไม่ควรลงทุนเพียงเพราะอยากได้กำไรเท่านั้น แต่ต้องลงทุน เพื่อตัวเองด้วย เช่น ต้องยอมเสียเงิน เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมในหลากหลายเรื่อง ถือเป็นการพัฒนาตนเอง แม้วันนี้ผมจะมีอายุขึ้นเลขห้าแล้ว แต่ก็ยังไปเรียนร้องเพลง เรียนกีต้าร์คลาสสิค รวมถึงไม่ลืมที่จะออกกำลังกายสม่ำเสมอ ด้วยการปั่นจักรยาน ถือเป็นการฝึกวินัยอย่างหนึ่ง ซึ่งการมีวินัยที่ดีสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตการลงทุนได้
'ช่วงแรกเราอาจต้องเลียนแบบบางเรื่องจากคนเก่ง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องค้นหาทางของตัวเองให้เจอ เพื่อสร้างเป็นเอกลักษณ์ จากนั้นต้องหาทางชนะด้วยตัวเองให้ได้ เมื่อเดินทางมาถึงจุดนั้น เราจึงจะเรียกว่า ความสำเร็จ'







