‘บ้านปู’ลุ้นครึ่งปีหลังฟื้น เหตุบาทอ่อนหนุน

‘บ้านปู’ลุ้นครึ่งปีหลังฟื้น เหตุบาทอ่อนหนุน

“บ้านปู” คาดผลประกอบการฟื้นครึ่งปีหลัง จากปริมาณ-ราคาขายเริ่มดีขึ้น ขณะต้นทุนลดตามราคาน้ำมัน รวมทั้งค่าเงินในประเทศที่เข้าลงทุนอ่อนลง

บริษัทบ้านปู จำกัด (มหาชน)หรือ BANPU ผู้ประกอบการธุรกิจถ่านหินรายใหญ่ของไทย ได้ออกมาแถลงทิศทางและแนวโน้มการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะมิทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากค่าเงิน น้ำมันที่ช่วยให้ต้นทุนลดลงและราคาถ่านหินได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว  

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) BANPU เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังของบริษัทน่าจะเติบโตสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก เนื่องจากปริมาณการขายถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเป็น 25.1 ล้านตัน จากเดิม 23.4 ล้านตัน ส่งผลให้ทั้งปีปริมาณการขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 48.5 ล้านตัน รวมถึงราคาขายเฉลี่ยที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 59 ดอลลาร์ต่อตัน จากราคาขายเฉลี่ยครึ่งปีแรกที่ 56.4 ดอลลาร์ต่อตัน

"ปริมาณการขายถ่านหินในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทได้ทำสัญญาขายล่วงหน้าไปแล้ว 97%จากปริมาณทั้งหมด โดยกำหนดราคาขายไว้ที่ 59 ดอลลาร์ต่อตัน นอกจากราคาขายที่สูงขึ้นแล้ว ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจะช่วยให้ค่าใช้จ่ายต้นทุนการผลิตถูกลงด้วย รวมไปถึงค่าเงินที่อ่อนตัวลงในประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุนก็เป็นส่วนช่วยให้ต้นทุนลดลงเช่นกัน” นางสมฤดี กล่าว

ชูเป้ากระแสเงินสด600ล้านดอลล์

 นางสมฤดี กล่าวต่อว่า ในภาวะที่ราคาถ่านหินอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบันนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายสร้างกระแสเงินสดให้มากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทสามารถทำได้แล้ว 265 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากกว่า 700 ล้านดอลลาร์

“การสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานถือเป็นหัวใจที่สำคัญในการทำธุรกิจ เพราะกระแสเงินสดจะช่วยให้บริษัทสามารถลงทุนขยายธุรกิจต่อได้ โดยปกติแล้วบริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะต้องสร้างกระแสเงินสดเกินกว่า 600 ล้านดอลลาร์ต่อปีขึ้นไปในภาวะปัจจุบัน ซึ่งในช่วงที่ราคาถ่านหินยังอยู่ในระดับสูงบริษัทเคยสร้างกระแสเงินสดได้ถึงปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยในส่วนนี้บริษัทมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนในแต่ละปีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายคืนหนี้เงินกู้ งบลงทุนใหม่ และการจ่ายเงินปันผล” นางสมฤดี กล่าว  

อย่างไรก็ตามยอมรับว่ารายได้ทั้งปีน่าจะต่ำกว่าปีก่อนราว 5-10%เนื่องจากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยทั้งปีนี้ต่ำกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 65.36 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ในปีนี้อยู่ในช่วง 56-59 ดอลลาร์ต่อตัน 

ชี้ราคาถ่านหินผ่านจุดต่ำสุด 

ในส่วนของแนวโน้มราคาถ่านหินน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เนื่องจากแนวโน้มราคาในช่วงที่ผ่านมาเริ่มอยู่ในภาวะทรงตัว โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยในช่วงที่เหลือของปีน่าจะอยู่ที่ระดับ 60 ดอลลาร์ต่อตัน  

ขณะที่แนวโน้มในปีหน้าแม้จะยังคงเผชิญภาวะอุปทานส่วนเกินไปจนถึงกลางปีเป็นอย่างน้อย แต่คาดว่าอุปสงค์ของถ่านหินน่าจะเพิ่มขึ้น 3%จากปีนี้ซึ่งอยู่ที่ 930 ล้านตัน ขณะที่อุปทานซึ่งอยู่ที่ระดับ 935-938 ล้านตัน ในปีนี้น่าจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว โดยจะเห็นได้จากอุปทานจากอินโดนีเซียในปีนี้ที่ลดลงไปแล้ว 40 ล้านตัน   

นอกจากนี้บริษัทมีความต้องการที่จะเพิ่มปริมาณสำรองของถ่านหินให้เป็น 660 ล้านตัน หรือเป็นการเพิ่มระยะเวลาสำรองเป็น 15 ปี จากปัจจุบันที่มีปริมาณถ่านหินสำรองอยู่ 480 ล้านตัน หรือราว 11 ปี ซึ่งในส่วนนี้บริษัทก็พยายามมองหาการซื้อเหมืองถ่านหินที่น่าสนใจ เพราะเป็นช่วงที่ราคาขายค่อนข้างถูก อาทิ ในอินโดนีเซีย แต่อย่างไรก็ตามด้วยภาวะที่ราคาถูกนี้ทำให้ผู้ขายยังไม่ต้องการขายเช่นกัน  

เล็งออกหุ้นกู้ 3-5 พันล้านไตรมาส4

สำหรับแผนการระดมทุนเพิ่มเติมนั้น บริษัทอาจจะพิจารณาออกหุ้นกู้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ โดยคาดว่ามูลค่าน่าจะอยู่ที่ราว 3,000 – 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนด และลงทุนใหม่ๆ แต่ทั้งนี้อาจจะต้องรอพิจารณาภาวะตลาดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในบางครั้งการเลือกใช้แหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินก็อาจจะได้ต้นทุนที่ต่ำกว่าก็เป็นได้ 

นางสมฤดี กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้านั้นตั้งเป้าที่จะมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นราว 2,300 เมกะวัตต์ ในปี 2561 ซึ่งจะทำให้กำไรและกระแสเงินสดจากธุรกิจไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนราว 35-40%โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,400 เมกะวัตต์ 

“สำหรับเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าในขณะนี้ยังไม่ได้รวมโครงการใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการศึกษา หรือโครงการอื่นๆ ที่อาจจะเพิ่มเข้ามาในอนาคต เพราะในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างทำแผนการดำเนินงาน 5 ปี ฉบับ 2559 – 2563 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีแผนชัดเจนยิ่งขึ้น ในเบื้องต้นมองว่าโอกาสในธุรกิจพลังงานทดแทนยังมีอีกมาก โดยคาดว่าจะสรุปได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้” นางสมฤดี กล่าว  

พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อที่จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัท บ้านปู พาวเวอร์ จำกัด หรือBPPเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยคาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ในปีนี้

เผยครึ่งปีแรกกำไรวูบ 99 %

บริษัทบ้านปูรายงานตลาดหลักทรัพย์ วานนี้(14 ส.ค.) สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกปี 2558 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 14.92 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 2,490.94 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 2,476.02 ล้านบาท หรือคิดเป็นการปรับลดลง 99.4% 

ส่วนงวดไตรมาส 2 ปี 2558 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 54.33 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 686 ล้านบาท หรือลดลงจำนวน 740.33 ล้านบาท คิดเป็นการลดลง 107.91%